คนส่วนใหญ่ มักจะให้ข้อมูลส่วนตัวไว้บน Facebook ไม่ว่าจะเป็น ชื่อจริง เพศ อายุ วัน-เดือน-ปีเกิด แฟนคุณคือใคร ลูกคุณคือใคร คุณอยู่ที่ไหน ทำงานที่ไหน พูดภาษาอะไร และชื่นชอบอะไรบ้าง เป็นต้น ทั้งหมดสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักใส่ไว้ใน Facebook ซึ่งหลายๆ คนก็ไม่กล้าที่จะโกหก เช่น หากคุณมีแฟนหรือภรรยา คุณลองไปแก้ความสัมพ้นธ์ (Relationship) ของคุณใน Facebook ของคุณสิว่าคุณโสด เหอะๆ ผมว่าคุณคงจะได้รับการติดต่อสอบถามจากเพื่อนของคุณเข้ามามากมายกว่าเกิดอะไรขึ้นกับแฟนคุณ หรืออาจจะมีปัญหากับแฟนคุณได้ง่ายๆ เลยล่ะ ทำให้ตอนนี้หลายๆ คนมักให้ข้อมูลที่เป็นความจริงแก่ Facebook เพราะหลายคนมั่นใจว่าจะมีแค่เพื่อนหรือคนที่คุณรู้จักและยินยอมเท่านั้นเห็นข้อมูลของคุณ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ Facebook เองเห็นข้อมูลเหล่านี้ของคุณ และนำข้อมูลของคุณไปใช้ในเชิงการสร้างรายได้และการโฆษณา
หากคุณเข้าไปที่ Facebook และลองสังเกตุด้านข้างของ Facebook จะมีโฆษณาหลายๆ อันที่แสดงสลับซักเปลี่ยนไปมา หากคุณสังเกตุดูดีๆ คุณจะพบว่าโฆษณาที่คุณเห็น กับโฆษณาที่เพื่อนของคุณเห็น อาจจะเป็นคนละตัวกัน โดยเฉพาะผู้ชายและผู้หญิง เพราะ Facebook รู้ว่าคนที่ใช้ Facebook อยู่ขณะนั้นเป็นใคร อายุเท่าไร เพศอะไร พูดภาษาอะไร อยู่ทีไ่หน มีพฤติกรรมอย่างไร ทำให้ Facebook นำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้วิเคราะห์เพื่อให้คนที่ลงโฆษณาใน Facebook (เข้าไปใช้ได้ที่ http://www.facebook.com/ads) สามารถ “ระบุกลุ่มเป้าหมาย (Targeted Marketing)” คนเห็นโฆษณาได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่นผม มีสินค้าเครื่องสำอางค์สำหรับผู้หญิงอายุ 50 ขึ้นไป ผมคงไมอยากลงโฆษณาให้เด็กๆ วัยรุ่นสาวๆ เห็นโฆษณาของผม แต่การลงโฆษณาใน Facebook ทำให้ผมสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่จะเห็นโฆษณาของผมได้ ว่าต้องการให้เฉพาะ ผู้หญืง อายุ 50 ปีึขึ้นไป และผมอยากจะเน้นไปยังพื้นที่ๆ ที่ผมต้องการเข้าถึงโดยเฉพาะ เช่น ต้องการให้คนเชียงใหม่ และคนมาเลย์เซีย เห็นโฆษณาของผม ผมก็สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องได้ทันทีผ่านระบบโฆษณาของ Facebook


โดยหลังจากเลือกกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดแล้ว ระบบจะคำนวนออกมาให้เห็นเลยว่า จะมีโอกาสที่กลุ่มคนกีคนที่อยู่ใน Facebook ที่จะเห็นโฆษณาของคุณได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และการจ่ายเงินจะเป็นจ่ายเพียงแค่ เมื่อคุณได้ลูกค้าคลิกมาเท่าน้น (Cost Per Click) หรือการเห็นข้อมูลความโฆษณาเท่านั้น (CPM) ทำให้คุณสามารถเห็นถึง ประสิทธิภาพของการการลงโฆษณาได้ว่า คุณจ่ายเงินไปเท่าไร และได้ลูกค้ามาเท่าไรอย่างชัดเจน ทำให้แนวโน้นการลงโฆษณากับทาง Facbook เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะด้วยความสามารถที่ระบุกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนมากที่สุดเลยสื่อนึงในปัจจุบัน และจำนวนคนใช้ Facebook มีมากกว่า 1,200 ล้านคนแล้ว (คิดเป็น 55% ของคนใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก) ทำให้การลงโฆษณาใน Facebook สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทั่วโลกได้ทันที

ด้วยความสามารถในการระบุกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจนของการลงโฆษณาใน Facebook ทำให้ผมได้ทำการทดลองทำแคมเปญการตลาด ขายสินค้าใน http://www.TARAD.com กับกลุ่มลูกค้าเฉพาะ โดยผมเลือกทำสินค้าขายกับกลุ่ม “เกย์ (Gay)” โดยเราพบกว่ากลุ่มเกย์เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง เพราะไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก ทำให้ความสามารถในการซื้อสินค้ามีสูงมากกว่ากลุ่มอื่นๆ แต่เราจะเลือกสื่อโฆษณาแบบไหนที่จะสามารถเข้าถึงกลุ่มเกย์ได้ดีที่สุด? ผมตัดสินใจเลือกใช้การลงโฆษณากับ Facebook
คุณรู้ไหมว่า ประเทศไทย มีเกย์ หรือกระเทยอยู่ในประเทศไทยกี่คน? คงไม่มีใครไปนั่งนับหรือเก็บสถิติกันแน่ๆ แต่ด้วยการค้นหาผ่านระบบลงโฆษณาใน Facebook ทำให้ผมบอกได้ว่า ตอนนี้ ประเทศไทยมีคนใช้ Facebook ทั้งหมด 24 ล้านคน (ณ.วันที่ 1 ตุลาคม 2556) และในจำนวนนี้มีเกย์ (ชายชอบชาย) ทั้งหมด 320,000 คน (1.34%) ซึ่งคำถามคือ Facebook รู้ได้ยังไงว่าคนไหนเป็นเกย์? คำตอบง่ายๆ คือ Facebook รู้เพราะหลายคนบอกรสนิยมตัวเองกับ Facebook เอาไว้ว่าเพศชาย และสนใจใน (Interesed in) เพศชาย ซึ่งข้อมูลส่วนนี้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่ Facebook ได้ถามเอาไว้ แต่ในระบบโฆษณาของ Facebook สามารถดึงข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการระบุหากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้

หลังจากที่รู้ว่าเรามีกลุ่มเป้าหมายจำนวนเท่าไรแล้ว TARAD.com เปิดแคมเปญ “เก๋กู้ด ดูดี ชะนียังหลบ รวมสินค้าแฟชั่น เสริมหุ่นให้ล่ำ ฉ่ำไฉไล เอาใจชาวสีม่วง” โดยขัดเลือกสินค้าที่เน้นไปยังกลุ่มเกย์ มาทำแคมเปญ และเราเลือกใช้สื่อโฆษณาบน Facebook ในการลงโฆษณาเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย คือคนไทยที่เป็นเกย์

ผลปรากฏว่า หลังจากเราทำแคมเปญนี้ออกไปในช่วงเวลา 1 อาทิตย์ มีเกย์เห็นโฆษณาในแคมเปญนี้ของเรามากกว่า 160,000 คน (จากจำนวนเกย์ทั้งหมด 320,000 คนทั่วประเทศ) ง่ายๆ คือโฆษณาของเราสามารถเข้าถึงเกย์ได้ครึ่งประเทศไทย และแต่ละคนเห็นโฆษณาของเรา มากกว่า 13 ครั้งเลยทีเดียว โดยเราใช้เงินไปประมาณ 12,000 บาทเท่านั้นเอง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับโฆษณาช่องทางอื่นๆ เราแทบไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มแบบนี้ได้เลย ด้วยเม็ดเงินเพียงแค่นี้ และผลลัพย์จากการทำแคมเปญนี้ ทำให้ในช่วงเวลาที่ทำแคมเปญ เรามียอดขายโตมากขึ้น 200% เลยทีเดียว และมีเพื่อนผมหลายๆ คนที่เป็นเกย์ ทักเข้ามาบอกว่า ทำไมโฆษณาของผมไปแสดงอยู่บนหน้า Facebook เค้าเยอะจัง (เข้าถึงกล่มเป้าหมายได้จริง)

นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้สื่อโฆษณาออนไลน์รูปแบบใหม่ ที่สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจงลงไป และทำการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมากับคนกลุ่มที่เราต้องการ ทำให้ประสิทธิภาพ (Efficiency) ของการโฆษณาสื่อสาร ได้ผลมากขึ้น และแม่นยำมากขึ้น มากกว่าการลงโฆษณาแบบหว่านๆ ออกไป โดยไม่แน่ใจว่า กลุ่มเป้าหมายของเราจะเห็นจริงหรือไม่ และรวมถึงการวัดผลที่มีประสิทธิภาพ สามารถบอกได้ชัดเจนว่ามีกลุ่มเป้าหมายของคุณ มีคนเห็น มีคนคลิก มีคนสั่งซื้อกี่คน นี้คือการตลาดและประชาสัมพันธ์รูปแบบใหม่ ที่จะทำให้การสื่อสารและโฆษณาของธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งหมดที่ผมเล่ามาให้ฟัง เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการแสดงให้เห็นถึงอำนาจและประสิทธิภาพของสื่อการตลาดออนไลน์ ที่ไม่ใหม่แล้ว มันกลายเป็นเรื่องปกติแล้วสำหรับนักการตลาดออนไลน์ แต่มันอาจจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับคุณ ดังนั้นผมแนะนำให้คุณลองนำเทคนิคการลงโฆษณาแบบนี้ไปใช้กับธุรกิจคุณดู หรือง่ายๆ ลองเอาไปค้นหากลุ่มเป้าหมายของธุรกิจคุณดูสิว่ามีจำนวนเท่าไร ที่คุณจะสามารถใช้สื่อออนไลน์เข้าถึงกลุ่มคนเหล่านั้นได้ แต่นี้เป็นเพียงแค่สื่อโฆษณาออนไลน์เพียงอย่างเดียวที่ผมนำมาเล่า ยังมีสื่อโฆษณาออนไลน์อีกมากมายหลายรูปแบบ ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า ใช้เงินน้อยกว่า และได้ผลมากกว่า หากสนใจเพิ่มเติมลองเข้าไปอ่านข้อมูลเทคโนโลยีการตลาดออนไลน์ที่ผมสรุปรวมไว้ได้ฟรีๆ ที่ www.Pawoot.com เลยครับ คนทำธุรกิจไทยต้องเสริมความรู้ใหม่ๆ ให้เก่งมากขึ้น ไม่ใช่เพราะตัวคุณเอง แต่เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้ามากขึ้น มันเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่พวกเราทำในแต่ละวันครับ.! ได้เวลาลงมือทำแล้วครับ
ขอบคุณมากๆ ครับ เรียนรู้แล้วได้ลองทำอัจฉริยะจริงๆ
ถูกใจถูกใจ