ตอนนี้บรรดาบริษัทเทคโนโลยีมีการปรับตัวกันเยอะมาก อย่าง Facebook เองก็ออกฟีเจอร์ใหม่ให้คนยูเครนสามารถล็อกโปรไฟล์เพื่อซ่อนข้อมูลส่วนตัวได้ เพราะเมื่อเกิดสงครามอาจมีบางคนที่ถูกหมายหัวได้เพราะใน Facebook จะมีการระบุข้อมูลส่วนตัว เช่น อายุ ตำแหน่ง อาชีพ บางคนอาจจะเป็นนักข่าวหรือตำแหน่งต่าง ๆ ฯลฯ
Facebook จึงทำฟีเจอร์ที่ช่วยคนยูเครนเพียงกดปุ่มเดียก็สามารถซ่อนข้อมูลตัวเองได้เลย ในขณะเดียวกันเมื่อมีการรสู้รบก็มีการสนับสนุนทางการเงินต่าง ๆ ล่าสุดมีการบริจาคเงินคริปโตให้กับยูเครนเพื่อใช้ในการป้องกันตัวเองทางออนไลน์หรือทางวอลเล็ตข้ามประเทศกันเลย
จะเห็นว่าข้อมูลหรือ Data ถือเป็นสิ่งจำเป็นและโดยเฉพาะสำหรับธุรกิจ Data นั้นแบ่งออกเป็นหลายประเภท ในเชิงธุรกิจเราแบ่ง Data เป็น 3 กลุ่มด้วยกัน
1. First Party Data คือข้อมูลของเราเอง
ส่วนนี้เป็นข้อมูลที่เวลาทำธุรกิจเรามีข้อมูลลูกค้า เช่น เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ ฯลฯ ของลูกค้า เป็นข้อมูลของเราเอง รวมไปถึงข้อมูลพฤติกรรม โซเชียลมีเดีย ทุกอย่างที่เราสามารถบริหารจัดการเองได้ ยกตัวอย่างเช่น มีลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้า เรามีการเก็บเบอร์โทร อีเมล ต่อมามีการส่งอีเมล หรือ SMS ไปหาลูกค้าคนนั้นเพื่อดึงให้กลับมาซื้อสินค้าอีกครั้ง นี่คือการใช้ข้อมูลของ First Party Data
จุดอ่อนของ First Party Data คือผู้ประกอบการหลาย ๆ คนไม่ได้เก็บเอาไว้ ปล่อยให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าหรือบริการแล้วก็จากไป ไม่เคยมีการเก็บข้อมูลไว้เลยซึ่งน่าเสียดายมาก หากเรามีข้อมูลลูกค้าไว้แล้ว การขายสินค้าให้กับลูกค้าเก่านั้นจะง่ายกว่าขายให้กับลูกค้าใหม่เยอะมาก แต่ถ้าไม่มีการเก็บข้อมูลเอาไว้การจะกลับไปขายอีกเราไม่มีข้อมูลที่จะกลับไปขายอีกครั้ง ต่อไปนี้จะเข้าสู่ยุคที่ผู้ประกอบการจะเริ่มมีการเก็บข้อมูล First Party Data ของตัวเอง
2. Second Party Data คือ ข้อมูลของบริษัทอื่นที่เราอาจจะไปทำความร่วมมือตกลงกันในการใช้ข้อมูลนั้น และเราสามารถเอาข้อมูลนั้นมาทำการตลาดได้
สังเกตได้ว่าเวลาเราสมัครบริการต่าง ๆ ในเอกสารเหล่านั้นจะมีให้ยอมตกลงว่า หนึ่ง ข้อมูลของเราจะถูกนำไปใช้ในทางการตลาด สองจะถูกนำไปใช้ในบริษัทในกลุ่มหรือพาร์ทเนอร์ของบริษัทนั้น เมื่อเรากดตกลงนั่นหมายถึงเรายินยอมให้ข้อมูลของเราไปสู่พาร์ทเนอร์ของเขาได้
ที่เห็นง่าย ๆ เช่น บัตรเครดิตต่าง ๆ บริษัทที่มีข้อมูลจำนวนมากและเป็นข้อมูลชั้นดี เขาจะมีการทำโปรโมชั่นซึ่งก็คือการนำเอาข้อมูลของเราไปจับมือหรือไปขายให้กับบริษัทอื่นต่ออีกที เขาจะทราบข้อมูลเลยว่าเดือนหนึ่ง ๆ เราใช้จ่ายเท่าไหร่ เป็นคนกลุ่มไหน ฯลฯ ดังนั้น บริษัทที่มีข้อมูล First Party Data ลึก ๆ เยอะๆ จะเริ่มรู้ข้อมูลของลูกค้าก็จะเริ่มมีการขายข้อมูลของลูกค้า
3. Third Party Data จะเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน
จะมีลักษณะแบบ Facebook ที่มีการข้อมูลของลูกค้า เก็บข้อมูลพฤติกรรม รวบรวมข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง ฉะนั้นในฝั่งของ Third Party Data จึงกลายเป็นที่นิยมมาก
ยกตัวอย่างเช่น คนจะไปลงโฆษณากับ Facebook เพราะ Facebook มีการรวบรวมข้อมูลจากหลายๆ แห่ง มีการจับมือกับหลาย ๆ แอปพลิเคชันในโทรศัพท์ของเรา ทำให้ Facebook เจาะเข้าไปถึงข้อมูลในโทรศัพท์มือถือของเราได้ รู้ว่าเราไปทีไหนบ้าง โทรหาใครบ้าง ในโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ของเรานั้นมีข้อมูลส่วนตัวเราจำนวนมากและแอปพลิเคชันพวกนี้ยังสามารถเข้าไปถึงข้อมูลของคนอื่นต่อได้อีกทีหนึ่ง
ตอนนี้ Third Party Data เป็นที่นิยมมาก เพราะเขาสามารถรวมรวบจากหลาย ๆ แหล่ง แอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมถึงคุกกี้ที่เราเก็บไว้ในมือถือหรือในคอมพิวเตอร์เราด้วย ทำให้การทาร์เก็ตหรือการระบุกลุ่มลูกค้านั้นมีความแม่นยำมากขึ้น ดังนั้นที่ผ่านมา Third Party Data จึงเป็นข้อมูลที่นักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจนิยมใช้
จากที่ผ่านมา Third Party Data ค่อนข้างที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องของข้อมูลส่วนบุคคลค่อนข้างมาก จนกระทั่งตอนนี้เอง Apple ได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล โดยจะถามถึงการอนุญาตให้แอปพลิเคชันสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลก่อน
ซึ่งผู้ใช้ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์กดไม่อนุญาต ทำให้ Facebook ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลและแอปต่าง ๆ ก็ไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ ทำให้การยิงโฆษณาของ Facebook เริ่มไม่แม่นยำแล้ว เมื่อมีการปิดไม่ให้แอปต่าง ๆ สามารถแทร็กหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ ทำให้ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ของเรามันเข้าไม่ได้
ฉะนั้นตอนนี้ Third Party Data ความแม่นยำก็เริ่มน้อยลง และล่าสุดทางฝั่งแอนดรอยด์หรือ Google เองก็ดีกำลังจะเดินตาม Apple แล้ว นั่นหมายถึงต่อไปคนที่ใช้แอนดรอยด์สามารถเลือกได้ว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้เหมือน Apple เลย
ตรงนี้จึงทำให้เกิดผลกระทบกับ Facebook จากเดิมที่ยิงโฆษณาได้แม่นยำ ต่อไปก็จะเริ่มแม่นยำน้อยลง ตอนนี้นักการตลาดจากเดิมที่พึ่งพาข้อมูลเพื่อยิงโฆษณาใน Facebook หรือ Google ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว จะไปหวังการใช้ Third Party Data จาก Facebook หรือ Google ไม่ได้แล้ว
จึงเข้าสู่ยุคที่คนที่ทำธุรกิจต้องเริ่มเก็บข้อมูลลูกค้าหรือ First Party Data ของตัวเองเอาไว้ ต้องกลับมาที่ตัวเราแล้วว่าการทำธุรกิจของเรามีการเก็บข้อมูลลูกค้าดีแล้วหรือยัง เรารู้จักลูกค้าคนนั้นหรือไม่ การเก็บข้อมูลลูกค้าไม่ใช่แค่การเก็บอย่างเดียว ต้องรู้จักนำมาใช้ด้วย
การรู้จักลูกค้าของเรามีเครื่องมือมากมายที่จะทำให้เราสามารถรู้จักและเก็บข้อมูลลูกค้าของเราได้ ที่เห็นว่าน่าจะมีกันอยู่แล้วคือ LINE OA ที่มีฟังก์ชันการสะสมแต้ม หรือบริการหนึ่งของ Facebook ที่ชื่อว่า Facebook Wi-Fi ที่สามารถเก็บข้อมูลของลูกค้าเมื่อลูกค้าล็อกอินและเช็กอิน อ่านจบแล้วไม่ต้องรอ กลับไปบอกทีมของคุณให้เริ่มเอาเครื่องมือที่มีอยู่แล้วเก็บข้อมูลของลูกค้าทันทีตอนนี้เลยครับ