จากข้อมูล e commerce ประเทศไทย ตอนนี้เรามีตัวเลขคนใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยถึง 50 กว่าล้านคน นั่นหมายถึงประชากร 78% ใช้ออนไลน์ และเชื่อมีคนเกินครึ่งซื้อสินค้าออนไลน์กันหมดแล้ว ฉะนั้นถ้าคุณทำธุรกิจจะเห็นว่าการขายของออนไลน์นั้นมาแล้ว
ถ้าหากทุกคนขายออนไลน์หมดแล้ว แต่ไม่เข้าใจสภาพตลาดออนไลน์ของประเทศไทยเป็นอย่างไร จุดนี้จะเป็นเรื่องที่ลำบาก ผมจึงอยากจะมาเขียนถึงสภาพตลาดอีคอมเมิร์ซประเทศไทยจากการสำรวจโดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA ที่ทำการสำรวจมูลค่าอีคอมเมิร์ซทุกปี
การสำรวจข้อมูลจะทำย้อนหลังไปโดยเริ่มจากปี 63 อยู่ที่ 3.7 ล้านล้านบาท ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเยอะอยู่แต่จริง ๆ แล้วตัวเลขก่อนหน้านี้คือ 4 ล้านล้านบาท หลายคนแปลกใจทั้งที่มีโควิดแต่ทำไมตัวเลขถึงตกลงมาได้
สาเหตุที่ตกลงมาก็เพราะอีคอมเมิร์ซในเมืองไทยที่ใหญ่จริง ๆ ส่วนหนึ่งคือการท่องเที่ยว ทั้งโรงแรม สายการบิน ฯลฯ ซึ่งแต่ก่อนส่วนนี้ถือว่าโตมาก เมื่อมีโควิดภาพรวมอีคอมเมิร์ซอื่น ๆ ถือว่าโตหมดเลย แต่มากระทบกับด้านท่องเที่ยวจึงฉุดให้ภาพรวมอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยลดลง -6.68%
เราแบ่งการทำอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยเป็น 3 กลุ่มคือ 1. ตลาดค้าปลีกเป็น B2C ในปีก่อนมีมูลค่าประมาณ 2.1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 57% คือเกินครึ่งของปริมาณอีคอมเมิร์ซของไทย ในขณะที่ตลาดรองลงมาคือ B2B มีมูลค่าการซื้อขายผ่านอีคอมเมิร์ซตกอยู่ประมาณ 7 แสนกว่าล้านบาทซึ่งมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 22%
อีกตลาดที่โตมากเช่นกันคือ B2G ซึ่งเป็นการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ตัวเลขตกอยู่ประมาณ 8 แสนกว่าล้านบาท มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ประมาณ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ของภาพรวมอีคอมเมิร์ซทั้งประเทศ
มูลค่ารวมของอีคอมเมิร์ซเมื่อแบ่งตามอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการซื้อขายอีคอมเมิร์ซมากที่สุดคือ ค้าปลีก มีมูค่าการซื้อขายอีคอมเมิร์ซประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท รองลงมาก็คือที่พักและท่องเที่ยวแม้จะตกลงมาแต่ก็มีมูลค่าประมาณสี่แสนหกหมื่นกว่าล้านบาท
รองลงมาอีกก็เป็นอุตสาหกรรมการผลิตที่เรียกว่า EDI (Electronic Data Interchange) ถือเป็นอีคอมเมิร์ซแบบ B2B ซื้อขายโดยใช้ช่องทางอีเล็กโทรนิกส์ ในฝั่งด้านการผลิตถือว่าโตมากเลย ฉะนั้นถ้าธุรกิจของคุณทำเกี่ยวกับด้านการผลิตมีโรงงาน วันนี้มีเครื่องไม้เครื่องมือเยอะแยะไปหมดเลย เช่น มีระบบ ERP อยู่หลายตัวให้ลองใช้ แทนที่จะมามัวแต่ใช้ซอฟต์แวร์บางตัว
ผมว่าการนำเครื่องมือทางด้านดิจิทัลมาใช้และการพัฒนาระบบการทำงานให้เป็นออนไลน์ทั้งระบบจะช่วยประหยัดคน ประหยัดการทำงาน และลดความผิดพลาดไปได้มากเลยทีเดียว ส่วนอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจเป็นอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเรื่องข้อมูลและข่าวสาร
3 ช่องทางการขายที่มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซมากที่สุด อันดับหนึ่งคือการขายผ่านร้านค้าออนไลน์ ประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท อันดับสองคือการขายผ่านโซเชียลคอมเมิร์ซ 6 แสนกว่าล้านบาท อันดับสามคือการค้าขายแบบ B2B เป็น EDI ประมาณ 465,000 ล้านบาท
จะเห็นว่าภาพรวมอีคอมเมิร์ซประเทศไทยดูเหมือนตกลง แต่ข้างในกลับโตมากนั่นเพราะมีบางอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิดจึงทำให้ภาพรวมดูตกลงมาก
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อีคอมเมิร์ซเมืองไทยโตคือ 1 ระบบชำระเงินโดยเฉพาะการมีพร้อมเพย์ และ 2 คือขนส่ง โดยเฉพาะขนส่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาฟู้ดดิลิเวอรี่มาเปลี่ยนการขนส่งจากเดิมหลายวันมาเป็นวันเดียวกันจนถึงไม่ถึงชั่วโมง
เทรนด์อีคอมเมิร์ซหนึ่งที่น่าสนใจที่ผมเคยพูดถึงคือ D2C แนวโน้มผู้ผลิตสินค้าต่าง ๆ หันมาขายตรงกับผู้บริโภคเองทำให้ต่อไปผู้ที่นำสินค้าจากโรงงานมาขายจะอยู่ยากมากขึ้น หรือ M2C หรือ Manufacturing to Consumer คือจากโรงงานขายตรงถึงมือผู้บริโภคเลยอันนี้น่ากลัวมาก
ผมเริ่มเห็นได้ชัดหลายแห่ง การเกิด M2C ไม่ได้เกิดเฉพาะประเทศไทยแต่เกิดขึ้นหลาย ๆ แห่ง ตั้งแต่อาลีบาบามาซื้อลาซาด้า จะเห็นว่าโรงงานจีนมีอยู่ในลาซาด้าหรือช้อปปี้เต็มไปหมดเลย และบางทีไม่ได้มาจากจีนแต่มาจากแวร์เฮ้าส์ของจีนที่มาตั้งอยู่ที่ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ ฯลฯ
แนวโน้มการทำธุรกิจในประเทศไทย คุณไม่ได้แข่งขายค้าปลีกกันเองแล้ว แต่โรงงานกำลังมาแข่งกับคุณ เป็นเทรนด์ที่ร้านที่เป็นตัวกลางต่าง ๆ จะเริ่มร่อยหรอลง ยอดขายจะน้อยลง โดยเฉพาะมันจะมาพร้อมกับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่จะซื้อแต่ทางออนไลน์