ถึงจุดที่มาร์เก็ตเพลสจะหยุดขาดทุนแล้วครับ… 

สัญญาณแรกที่เห็นได้ชัดเลยก็คือในปี 63 Lazada ขาดทุนเกือบ 4,000 ล้านบาท แต่ในปี 64 เขาพลิกมาทำกำไรได้ถึง 200 ล้านบาท ตอนแรกผมคิดว่ากำไรของเขาอาจเป็นกำไรระยะสั้นยังไม่ใช่กำไรระยะยาว แต่ปรากฏว่ากำไรล่าสุดในไตรมาสแรกของปี 65 ตัวเลขกำไรขึ้นมาเป็น 400 ล้านบาทแล้ว เขาทำกำไรได้สองปีติดต่อกัน

ผมไปดูงบการเงินของเขา รายได้นี้มาจากรายได้หลักไม่ใช่มาจากรายได้พิเศษ ฉะนั้นเห็นได้ชัดว่าตอนนี้ Lazada เข้าสู่ยุคของการทำกำไรแล้วครับ 

หลาย ๆ คนอาจจะเปรียบเทียบว่า Shopee โตกว่า Lazada ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงเพราะ Shopee ทุ่มเงินเพื่อขยายธุรกิจในประเทศไทยอย่างรวดเร็วและมากมายจริง ๆ แต่ที่ผ่านมาก็มีข่าวการลดจำนวนพนักงานหรือการปิดตัวลงในหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงการรัดเข็มขัดของบริษัทหลาย ๆ อย่าง

สาเหตุสำคัญ ผมมองว่าเกิดจากภาวะถดถอยของเศรษฐิจโลก สิ่งที่มากระทบเมื่อเปรียบเทียบระหว่าง Lazada กับ Shopee นั้น Lazada บริษัทแม่คือ Alibaba นั้นมีเงินมากแม้มีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นก็ตามเขาก็ยังมีเงินมาหล่อเลี้ยงอยู่ 

แต่สำหรับ Shopee คนที่คอยสนับสนุนคือบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือนักลงทุนที่อื่น เมื่อเกิดผลกระทบขึ้นมานักลงทุนจะเริ่มเก็บเงินเอาไว้ ฉะนั้นเม็ดเงินที่ Shopee ควรจะได้เพื่อมาขยายธุรกิจต่อก็เริ่มหายไป 

ยิ่งตอนนี้มีข่าวว่าหลายที่ไม่รับคนหรือมีการเลย์ออฟคนออกมาเพื่อรับมือสภาวะเศรษฐกิจถดถอยด้วย ตรงนี้เองที่ทำให้ Shopee จากเดิมที่อยู่ในโหมดกำลังเติบโตอย่างมาก เริ่มเปลี่ยนมาพูดถึงการทำกำไร ตรงนี้เองจะเห็นว่ามาร์เก็ตเพลสกำลังเข้าสู่โหมดของการทำกำไรแล้ว

คนแรกที่เริ่มทำกำไรไปแล้วก็คือ Lazada ส่วนที่ทำกำไรก็คือส่วนที่เป็นขนส่ง Lazada Express ในปี 65 ทำรายได้สูงถึง 16,000 ล้านบาท กำไรของเขาสูงมากถึง 2,700 ล้านบาท จะเห็นได้ชัดว่าธุรกิจอีมาร์เก็ตเพลสมีการแข่งขันกันดุเดือดเพราะมีการทำโปรโมชันต่าง ๆ มากมาย แต่ตัวที่จะทำกำไรก็คือขนส่งนั่นเอง

ลองมาดู Shopee ประเทศไทยในปี 64 รายได้ทั้งหมด 13,000 ล้านบาท ขาดทุนเกือบ 5,000 ล้านบาท ในขณะเดียวกัน Shopee Xpress มีรายได้ทั้งหมด 15,000 ล้านบาท ขาดทุนเกือบ ๆ 300 ล้านบาท 

ในปีนี้เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไป สิ่งที่จะเห็นได้ชัดก็คือ Lazada ออกมาประกาศเลยว่า ในฝั่งมาร์เก็ตเพลสจากเดิมที่ขายของใน Lazada เก็บค่าคอมมิชชั่น 1% ในฝั่ง lazmall เก็บค่าคอมมิชชั่น 2-12% จะเปลี่ยนเป็นในฝั่งมาร์เก็ตเพลสจะเก็บค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเป็น 2% นั่นหมายถึงขึ้น 100% เลย และยังมีการเก็บยิบย่อยไปหมด ซึ่งชัดเจนว่า Lazada กำลังเข้าสู่รูปแบบการทำกำไรเต็มรูปแบบ

ผมเชื่อว่าในฝั่ง Shopee เองจากที่มีการลดคนในหลาย ๆ ประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย เช่นเดียวกันครับ Shopee คงเริ่มกลับเข้ามาเก็บเงินกับพ่อค้าแม่ค้ารวมถึงแบรนด์สินค้าต่าง ๆ ที่มาขายใน Shopee มากขึ้นเพราะต้องทำกำไรบ้างแล้ว

ฉะนั้น ตอนนี้คนที่เคยค้าขายใน Shopee หรือ Lazada ที่เคยเพลิดเพลินกับคูปองส่งฟรี โปรโมชันต่าง ๆ ฯลฯ มันจะเริ่มน้อยลง แต่ในฐานะผู้ซื้อเราอาจจะยังมองเห็นว่ามีอยู่ แต่คูปองส่งฟรีหรือโปรโมชันลดราคาต่าง ๆ จะไม่ใช้ Lazada หรือ Shopee ที่เข้าไป subsidized แล้ว ต่อไปจะเป็นเจ้าของสินค้านี่แหละครับที่ต้องมาจ่ายเงินซื้อส่วนลดตรงนี้เอง 

ต้องบอกว่าตอนนี้ตลาดอีคอมเมิร์ซเบ่งบานเต็มที่แล้วครับ ได้เวลาของการเก็บเกี่ยว ถึงจุดที่จะหยุดการเบิร์นเงินแล้ว ผมเชื่อว่าในปีต่อไป Lazada จะทำกำไรเพิ่มมากขึ้น กำไร 400 ล้านบาทถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับรายได้ที่เขาทำได้ และบอกได้เลยว่าตอนนี้คนไทยเกินครึ่งประเทศซื้อสินค้าออนไลน์หมดแล้ว ฉะนั้นตอนนี้เขากำลังค่อย ๆ ขยายส่วนแบ่งการตลาดของตัวเอง 

จุดที่น่าสนใจคือเด็กรุ่นใหม่ของไทยที่เติบโตมาพร้อมกับ Lazada และ Shopee กำลังซื้อของคนรุ่นใหม่จะหันเข้าไปในออนไลน์มากขึ้น กลุ่มที่น่ากังวลคือห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ที่ตอนนี้รายได้น้อยกว่าพวกมาร์เก็ตเพลสมาก ๆ ในฝั่งของ traditional retail ที่เป็นออฟไลน์ กราฟรายได้โตสวนทางกับฝั่งออนไลน์อย่างมาก ๆ ต่อไปคู่แข่งของห้างต่าง ๆ ก็คือมาร์เก็ตเพลสนี่แหละครับ 

สำหรับคนที่ทำธุรกิจที่กำลังคิดจะไปค้าขาย ต้องดูว่าเราควรจะไปค้าขายที่ไหน ถ้าเป็นร้านอาหารการเปิดในห้างก็ยังได้อยู่ แต่จะมองแค่เรื่องโลเคชันเท่านั้นคงไม่ได้ อาจต้องมองไปที่เรื่องของฟู้ดดิลิเวอรี่ด้วย เพราะตอนนี้เป็นอีกทางเลือกหลักด้วยเช่นเดียวกันครับ