<![CDATA[

ในยุคที่การแข่งขันสูง การสื่อสารทางการตลาดย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และกลยุทธ์การสื่อสารที่มาแรงในยุคเศรษฐกิจตกต่ำนี้ เห็นจะไม่มีอะไรเกินกลยุทธ์ อีเมล์ หรือ e-Mail Marketing Campaign เพราะนอกจากจะถูกสตางค์แล้วยังได้ผลและคุ้มค่าเอามากๆ ด้วย

ความจริง e-Mail Marketing ก็คือ กลยุทธ์ไดเร็กต์เมล์ในรูปแบบของอิเล็กทรอนิกส์นั่นเอง โดยมีจุดที่

  1. สามารถส่งตรงถึงกลุ่มเป้าหมาย ถ้าหากกระบวนการในการเลือกและจัดหาเมลลิ่งลิสต์ถูกต้อง ก็จะเป็นสื่อที่เข้าถึงได้ตรงเป้าหมาย
  2. สามารถทำรูปแบบให้แลดูสวยงามสะดุดตา เหมือนดั่งเช่นไดเร็กต์เมล์ที่สามารถออกแบบให้หวือหวาเตะตาเตะใจผู้รับอีเมล ์ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นแค่ตัวอักษรเฉยๆ แต่สามารถสร้างด้วยภาษา html ให้มีภาพแสงสีที่สวยงาม และยังสามารถมีฟังก์ชั่นอื่นๆ ที่เหนือกว่าไดเร็กต์เมล์ธรรมดา
  3. ผู้รับสามารถโยนทิ้งได้ทันทีที่ได้รับ เพราะทั้งไดเร็กต์เมล์และอีเมล์ต่างก็มีสิ่งที่เรียกว่า Junk Mail หรือบรรดาเมล์ขยะด้วยกันทั้งสิ้น ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะรำคาญและรู้สึกเสียเวลาที่จะเปิดอ่าน แต่ที่อีเมล์ได้เปรียบกว่าไดเร็กต์เมล์อยู่หลายขุมก็คือ อีเมล์อาจทำหน้าที่แทนเซลส์ สามารถสร้างยอดขายและ

ในประเทศไทยเรา ตลาดที่สามารถใช้ e-Mail Marketing ได้ดีก็คือ ตลาด B2B กลุ่มวัยรุ่น และกลุ่มนักวิชาการนักการ

  แนวโน้มการใช้กลยุทธ์อีเมล์แทนไดเร็กต์เมล์นั้นเห็นได้ชัดอย่างยิ่งในสหรัฐอ เมริกาในปีนี้ จากการสำรวจวิจัยของค่าย Garnet แสดงให้เห็นว่า รายได้จากการโฆษณาด้วยอีเมล์นั้นเพิ่มขึ้นมาเป็น 1.26 พันล้านเหรียญในปีนี้ เปรียบเทียบกับปกลาย ซึ่งอยู่ที่เพียง 948 ล้านเหรียญ และในปี 2005 คาดว่าจะพุ่งขึ้นไปถึง 1.5 พันล้านเหรียญ

ที่จริงแล้ว อัตราการใช้ไดเร็กต์เมล์ในสหรัฐนั้น ได้ถึงจุดที่นิยมสูงสุดมาแล้ว คือเมื่อปีกลายนี้ ในจดหมาย 100 ฉบับที่ชาวอเมริกันได้รับ จะเป็นจดหมายไดเร็กต์เมล์เสีย 65 ฉบับ ซึ่งนับว่าสูงมาก พอมาในปี 2002 นี้อัตราลดลงเหลือ 50 ฉบับ ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นผลมาจากการที่ธุรกิจต่างๆ หันมาใช้กลยุทธ์อีเมล์กันมากขึ้นนั่นเอง

เมื่อผู้บริโภคคุ้นเคยกับการรับส่งอีเมล์กันมากขึ้น คืออีเมล์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเหมือนการรับส่งจดหมาย ผู้บริโภคก็จะยอมรับการโฆษณาทางอีเมล์มากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะเครื่องมือทางการตลาด อีเมล์ถือว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่าไดเร็กต์เมล์ และสามารถวัดผลได้ง่ายกว่าด้วย

ที่สำคัญคือใช้เวลาในการสัมฤทธิผลเร็วกว่า ซึ่งโดยทั่วไปแล้วแคมเปญไดเร็กต์เมล์จะใช้เวลาประมาณ 4 ถึง 6 สัปดาห์ที่จะเสร็จสมบูรณ์ แต่แคมเปญอีเมล์นั้นใช้เวลาเพียง 7 ถึง 10 วันทำงานเท่านั้น อีเมล์มีความได้เปรียบอีกอย่างในเรื่องของความรวดเร็วในการตอบกลับของผู้รับ โดยเฉลี่ยแล้วไดเร็กต์เมล์จะมีการตอบรับอยู่ภายใน 3 ถึง 6 อาทิตย์ แต่อีเมล์เฉลี่ยอยู่ที่ 3 วันเท่านั้นเอง

               นักการตลาดยุคใหม่สนุกกับการใช้อินเตอร์ เน็ตให้เป็นประโยชน์สูงสุด ภายในสองสามวันที่เริ่ม Launch แคมเปญอีเมล์ เราก็เริ่มวัดผลได้ทันที เรียกว่ารู้ผลทันใจวัยรุ่น และเราสามารถประเมินผลและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทันที สรุปแล้วระยะเวลาตั้งแต่เริ่มจนจบแคมเปญสั้นกว่าการใช้ไดเร็กต์เมล์ถึง 1 ใน 10 ที่เหนืออื่นใดก็คือ แคมเปญอีเมล์นั้นใช้ค่าใช้จ่ายต่ำกว่าไดเร็กต์เมล์มาก การสำรวจในสหรัฐอเมริการะบุว่า Cost Per Thousand หรือค่าใช้จ่ายต่อหนึ่งพันหัวของอีเมล์นั้นตกอยู่ที่ 5-7 เหรียญ ในขณะที่ไดเร็กต์เมล์มีเสียค่าใช้จ่ายถึง 500-700 เหรียญต่อพันหัวทีเดียว

นอกจากนั้นสาเหตุที่ทำให้อีเมล์เริ่มเป็นที่นิยมแซงโค้งไดเร็กต์เมล์นั้น คือ อีเมล์สามารถสร้างยอดขายหรือรายได้ให้บริษัทได้ทันทีที่เริ่มแคมเปญ อีเมล์ยุคใหม่ไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงตัวอักษรแห้งๆ อีกต่อไป แต่สามารถสร้างเป็นเพจที่มีหน้าตาสีสัน และมีลูกเล่นได้ไม่แพ้เว็บเพจเลย สามารถมีคุณสมบัติ Interactive ได้เช่นเดียวกันเว็บเพจ สามารถมีจุดลิงค์ไปยัง เว็บไซต์ของบริษัทหรือที่อื่นๆ ได้เลย ทำให้เกิดความสะดวกสบายกับผู้รับ และเป็นการสร้างโอกาสขายสินค้าได้ทันที

               แต่ข้อพึงระวังของการใช้อีเมล์ก็มี อันดับแรกคือ อย่าส่งอีเมล์ไปยังผู้ที่ไม่ปรารถนาที่จะได้รับอีเมล์ของเรา พูดง่ายๆ ก็คือต้องมีการขออนุญาตไม่ทางใดก็ทางหนึ่งก่อนส่งเสมอ จำไว้ว่าผู้รับต้องยินดีที่จะรับอีเมล์ของเรา ไม่อย่างนั้นอัตราการตอบกลับจะต่ำมาก อย่างเช่นในเว็บไซต์บางแห่งจะมีการให้สมัครสมาชิก และถามว่ายินดีจะรับเมล์ของบุคคลที่สามหรือไม่ อีเมล์ชนิดนี้เรียกกันว่า Permission-based e-Mail หรือเป็นอีเมล์ที่ได้รับการอนุญาตแล้ว ซึ่งผลการสำรวจในสหรัฐพบว่า อีเมล์ชนิดนี้ได้ผลในแง่ของการตอบกลับสูงมาก โดยหากเป็นไดเร็กต์เมล์ธรรมดา
ะมีเรตการตอบกลับอยู่ที่เพียงประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ซึ่งก็เท่าๆ กับเรตของอีเมล์ธรรมดาเช่นกัน แต่หากเป็น Permission-based แล้วอัตราดังกล่าวพุ่งขึ้นถึงระหว่าง 6-8 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว

               ผลสำรวจคนอเมริกันพบว่า 70% ของผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเปิดอีเมล์แบบ Permission-based ส่วนผู้หญิงนิยมอีเมล์ที่ประเภทลดแลกแจกแถม โดย 64% บอกว่ามีแนวโน้มที่จะเปิดอีเมล์แบบนี้ที่ไม่ควรลืมอีกอย่างคือ ในอีเมล์ของเราต้องมีที่ๆ ให้ผู้สามารถบอกยกเลิกการรับได้เมื่อเขาไม่ต้องการรับข่าวสารจากเราแล้ว และในกรณีของอีเมล์ที่ส่งประจำ ไม่ควรจะส่งถึงผู้บริโภคคนเดียวกันเกินกว่า 2 ฉบับต่อวัน หรือ 3 ฉบับต่อเดือนสำหรับ B2B

               ขอควรระวังอีกข้อคือ e-Mail address ที่เราได้มาต้องใหม่ เพราะ Mailing list ของอีเมล์นั้นล้าสมัยเร็วมาก คนทั่วไปจะเปลี่ยน e-Mail address กันค่อนข้างบ่อย จากการาสำรวจพบว่าภายใน 6 เดือนมีการเปลี่ยนกันกว่า 25% ทีเดียว ดังนั้นการทำงานกับอีเมล์แคมเปญจะต้องมีการ อัพเดทกันตลอดเวลา

               สถิติล่าสุดในสหรัฐบอกว่า มีผู้ใช้อีเมล์มากถึง 65% ที่มีการสั่งซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ตหลังจากที่ได้รับอีเมล์แล้ว และมีถึง 59% ที่ออกไปซื้อสินค้าจริงๆ(ไม่ได้สั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ต) โดยเป็นผลมาจากการที่ได้รับอีเมล์ เปรียบเทียบกับ 39% ที่ซื้อจากการได้รับไดเร็กต์เมล์หรือแคตตาล็อก

e-Mail Marketing จึงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจมาก เด่นด้วยคุณสมบัติ ถูก เร็ว และดี ข้อสำคัญคือควรใช้อีเมล์แบบ Permission-based เป็นหลัก และไม่ควรทำตัวเป็น spam เสียเอง เพราะสิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้อีเมล์เกลียดที่สุดก็คือ Spam mail นี้แหล่ะครับ

 

]]>