<![CDATA[

อินเทอร์เน็ต มีอะไรมากกว่าที่คุณเห็น และเว็บไซต์หลายแห่งมีทั้งส่งข้อมูลให้คุณทั้งทางตรงและทางอ้อม และบางข้อมูลคุณอาจไม่ได้ตั้งใจรับ แต่ก็ซึมซับเข้ามาในสายตาและความจำในที่สุด

อย่างกรณีที่หากคุณพิมพ์ถ้อยคำ หรือข้อความเพื่อต้องการค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่งแล้ว คุณจะพบว่า ผลของการค้นหาที่ปรากฏผ่านหน้าเว็บไซต์บริการค้นข้อมูล (Search Engine) ในวันนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะในเว็บไซต์บริหารค้นหาเหล่าสกุล .co.th ที่ได้ใจนักท่องโลกไซเบอร์คนไทยไปจำนวนมาก

ด้วยผลที่ปรากฏคือด้านซ้าย เป็นรายชื่อเว็บไซต์ที่เกี่ยวเนื่องกับข้อมูลที่คุณค้นหา ยาวเหยียดมีหลายหน้า ที่คุณอาจต้องคลิก Next Page จนเหนื่อยที่จะคลิกต่อ

ด้านขวา ก็ปรากฏเว็บไซต์ที่เกี่ยวเนื่องกับข้อมูลที่คุณเพิ่งคีย์ถ้อยคำลงไปเช่นกัน แต่ต่างกันที่จำนวนเว็บไซต์อาจน้อยกว่าเท่านั้นเอง
 

ไม่เชื่อลองเข้าไปที่ http://www.google.co.th แล้วลองคีย์คำว่า Flight เข้าไป เพื่อค้นหาเว็บไซต์ที่ให้บริการเที่ยวบิน

รับรองปรากฏรายชื่อเว็บไซต์ทั้งด้านซ้าย และด้านขวาอย่างแน่นอน

ด้านซ้าย คือเว็บไซต์ที่กูเกิลให้บริการฟรีในการโชว์ผลการค้นหา แต่ด้านขวาที่พื้นที่ที่กูเกิลได้เงินจากการขายพื้นที่ และตัวกลางหรือผู้ประสานงานนำเสนอเทคโนโลยีมาใช้มีรายได้เพิ่มขึ้น

บริการโฆษณาประเภทนี้เรียกกันในวงการธุรกิจโฆษณาออนไลน์ว่า “Search Engine Marketing”

นี่คืออีกรูปแบบของการโฆษณาผ่านหน้าเว็บไซต์ ที่กำลังบุกหนักในตลาดโฆษณาเมืองไทย ทำให้ทุกตารางเซนติเมตรในเว็บเพจมีค่า และแนบเนียน ไม่ทำให้ผู้ดูเว็บไซต์เกิดอาการหงุดหงิดสายตาจากโฆษณา เพราะเป็นการใช้ข้อความเพียงอย่างเดียวในการทำโฆษณา ไม่ได้ใช้ภาพกราฟิกแบบแบนเนอร์อย่างที่เคยเห็น หรือใช้ภาพอินเตอร์แอ็กทีฟเคลื่อนไหว ชนิดที่ดูดีทันสมัยมาดึงดูด ที่ครั้งแรกอาจรู้สึกตื่นตาตื่นใจ แต่ถ้าเจอบ่อย ก็อาจเกิดความรำคาญขึ้นมาก็เป็นได้

การโฆษณาผ่านเว็บไซต์บริการค้นหาข้อมูล จะทำให้สินค้าและบริการของลูกค้าประสบความสำเร็จได้ง่าย เพราะโอกาสที่จะมีคนคลิกเข้าไปดูเว็บไซต์ที่มีบริการและสินค้าที่ลูกค้าต้อง การอยู่แล้วนั้นมีมาก จึงเป็นโฆษณาออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูง และมีสัดส่วนรายได้มากกว่าโฆษณาออนไลน์ประเภทอื่น

จากข้อมูลของ ComScore ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2004 รายได้จากโฆษณาผ่านเว็บไซต์บริการค้นหามีสัดส่วนถึง 40% เพิ่มขึ้นจากปี 2003 ถึง 3 เท่า ของรายได้โฆษณาออนไลน์ทั่วโลก ในปี 2004 ที่มีรายได้รวมประมาณ 9,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่รายได้จากแบนเนอร์มีเพียง 20%เท่านั้น

นอกจากนี้ยังพบว่าการที่พฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไปใช้เวลาไปกับการออนไล น์มากขึ้น ยิ่งทำให้โฆษณาผ่านออนไลน์มีโอกาสมากขึ้น จากข้อมูลของ Universal McCann วิจัยเมื่อปี 2004 พบว่า ในรอบ 1 สัปดาห์ผู้บริโภคจะอ่านหนังสือพิมพ์ 1 ชั่วโมง อ่านนิตยสาร 3 ชั่วโมง อ่านหนังสือ 3 ชั่วโมง ฟังวิทยุ 5 ชั่วโมง แต่จะออนไลน์ถึง 10 ชั่วโมง ซึ่งเป็นสัดส่วนพอๆ กับทีวี

หากจะพูดถึงความเหมาะสมในการใช้บริการโฆษณาผ่านเว็บไซต์บริการค้นหานี้ สามารถบอกได้ว่าเหมาะอย่างยิ่งที่เจ้าของสินค้าและบริการต้องการสร้างแบรนด์ เพราะการนำเว็บไซต์ให้สามารถเชื่อมโยง โดยเฉพาะทำให้เว็บนั้นเป็นเว็บแรกๆ ของด้านขวามือ จะเป็นประตูด่านแรกที่จะนำผู้บริโภคไปรู้จักคุณ

กรณีตัวอย่างการคำนวณวัดผลสำเร็จ (Return On Investment Calculations : ROI) จากโฆษณาตั๋วเครื่องบิน ผ่าน“Search Engine Marketing”

รายการ
– อัตราค่าโฆษณาต่อเดือน 100,000 บาท
– ค่าใช้จ่ายต่อคลิก (cost per click) 30 บาท
– จำนวนคลิกขั้นต่ำต่อเดือน 3,333 คลิก
– ประมาณการสั่งซื้อสินค้า 5%
จำนวนรวม 166 รายการ
– กำไรต่อตั๋วที่ถูกสั่งซื้อ 6,000 บาท
– รวมกำไรทั้งหมด 996,000 บาท
– รวม ROI 1000%

อีกรูปแบบหนึ่งของโฆษณาบนหน้าเว็บไซต์มิติใหม่ของสร้างแบนเนอร์โฆษณา จะทำให้คนดูโฆษณาหน้าเว็บไซต์ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย เพราะเทคโนโลยีและการออกแบบจะดึงให้คนดูเว็บไซต์ลืมชั่วขณะในการดูเนื้อหลัก แต่จะหันมา Interactive กับโฆษณา ที่ในที่สุดสินค้าและบริการที่มาลงโฆษณาก็จะบรรลุวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะทำให้ผู้บริโภคจดจำสินค้า จำแบรนด์มากขึ้น จนถึงที่สุดคือการชอบและซื้อสินค้าและบริการนั้นในที่สุด 

Adserving Technology ที่นอกจากสร้างวิธีการนำเสนอใหม่แล้ว ยังเป็นระบบที่เก็บข้อมูลให้ลูกค้าได้อย่างเป็นระบบอีกด้วย เพราะการโฆษณาให้ได้ผล จะต้องมีฐานข้อมูลเกี่ย
กับผู้บริโภค เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในที่สุด

เช่น Floating ads มีแบบแรงมาก ที่เเป็นโฆษณาที่คลุมทั้งหน้าเว็บไซต์นั้น (Page Take Over Ads) บางประเภทมีวิดีโอใน ads (Interactive Video Ads) ด้วย เมื่อผู้บริโภคคลิกดู ก็เกิด Interact กับสินค้า ซึ่งการให้ สามารถตาม (Track) บันทึกข้อมูลการดูโฆษณาของผู้บริโภคได้ด้วย เช่น โฆษณารถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง มี 3 คัน 3 สีให้ลูกค้าดู แต่เพิ่มการ Interact เข้าไปด้วยการลองเชิญชวนให้คนดูโฆษณาคลิกเลือกสีที่ชอบ จากสถิติจะทำให้รู้ว่าคนชอบสีอะไร หลังจากนั้นเพื่อให้โฆษณาได้ผลจริงๆ ก็จะเสนอรถเพียงสีเดียวให้สะดุดตาผู้ดูเว็บไปเลย

หรือหากผู้บริโภคพร้อมสื่อสารโต้ตอบกับโฆษณาถึงขั้นกรอกข้อมูล เจ้าของสินค้าก็จะมีข้อมูลลูกค้าในมือ ซึ่งง่ายต่อการทำตลาดในอนาคต

อย่างไรก็ตาม การทำโฆษณาประเภทนี้ก็ต้องพิจารณาให้เหมาะกับเนื้อหาในเว็บนั้นๆ ด้วย บางเว็บอาจไม่เหมาะ อย่างเช่นเว็บไซต์ข่าว เพราะจะทำให้คนดูไม่ชอบขึ้นมาก็ได้

นอกจากนี้ประเภทที่ได้รับความนิยมจากลูกค้า คือ Cursor Ads ที่โฆษณาจะเคลื่อนที่ตามCursor แบบเมาส์คลิกลงล่าง หรือขึ้นข้างบนก็ตามไปด้วย

เมื่อความสร้างสรรค์ ผนวกกับเทคโนโลยี ที่นำมาพัฒนาและต่อยอดในเมืองไทย จึงทำให้เชื่อมั่นว่าตลาดโฆษณาผ่านออนไลน์ในเมืองไทยจะเติบโตต่อเนื่องอย่างแน่นอน จากปี 2548 มีมูลค่าประมาณ 350 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 0.04% ของมูลค่าตลาดโฆษณารวมที่อยู่ที่ประมาณ 80,000 ล้านบาท ส่วนปี 2549 คาดว่ามูลค่าโฆษณาออนไลน์จะอยู่ที่ประมาณ 515 ล้านบาท

ส่วนตลาดนี้ใครจะได้ส่วนแบ่งมากที่สุด คงต้องติดตามกันต่อไป

ตัวอย่างสื่อโฆษณาออนไลน์ ที่ได้รับความนิยม

ชื่อสื่อ: Search Engine Marketing
ลักษณะ: เชื่อมโยงเว็บไซต์
เป้าหมายสื่อ:
-แนะนำเว็บ เพื่อให้คนรู้จักสินค้า
-อัตราค่าโฆษณาขึ้นอยู่กับจำนวนคลิกเข้าเว็บ

ชื่อสื่อ: Floatings Ads
ลักษณะ: ภาพโฆษณาที่ปรากฏในหน้าเว็บ
เป้าหมายสื่อ:
-เหมาะกับสินค้าบริการที่ต้องโปรโมชั่น หรือจัดกิจกรรมช่วงใดช่วงหนึ่ง
-อัตราสูงสุด(manager.co.th) 1,300 บาทต่อการเห็น1 พันครั้ง
-ย้ำแบรนด์

ชื่อสื่อ: Video Ads
ลักษณะ: ภาพเคลื่อนไหวประมาณ 15 วินาที ตัดโฆษณาจากทีวี และใช้โปรแกรมนำผู้ดูคลิกสู่เว็บไซต์สินค้านั้น ๆ
เป้าหมายสื่อ:
-สูงกว่า Floatings Ads.ประมาณ 25%

ชื่อสื่อ: Cover the Page Ads
ลักษณะ: ภาพโฆษณาที่คลุมเกือบทั้งหน้าเว็บหรือพื้นที่ประมาณ 70%
เป้าหมายสื่อ:
-เหมาะกับการสร้างยอดขายสินค้าใหม่ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือกิจกรรม
-อัตราที่เคยจำหน่าย 2.4 แสนบาทต่อวัน โชว์วันเว้นวันพื่อไม่ให้รบกวนคนดูเว็บ

โดย สุกรี แมนชัยนิมิต  Positioning magazine   มีนาคม 2549

]]>