<![CDATA[

ช่วงนี้ทั่วโลกกำลังเข้าสู่ยุคของเศรษฐกิจถดถอยกันทั่วหน้า ไม่ว่าจะเป็นจากอเมริกา หรือในยุโรป ซึ่งรวมถึงเข้ามาในประเทศไทย ที่หลายๆ คนบอกว่า "กำลังซื้อ" กำลังจะเริ่มลดลงเพราะหลายๆ คนเริ่มเก็บเงินและไม่กล้าจับจ่าย เพราะต้องการประหยัดและเก็บเงินเอาไว้เตรียมตัวรับสภาพของการหดตัวของเศรษฐกิจ หลายๆ คนเริ่มตั้งคำถามว่า การหดตัวของเศรษฐกิจและการลดการซื้อของ ของผู้บริโภคจะกระทบกับ การซื้อ-ขายหรือการทำการค้าในโลกออนไลน์ หรือ E-Commerce หรือไม่? วันนี้ผมจะมาให้คำตอบเรื่องนี้กัน

    จากตัวเลขของการซื้อของออนไลน์ ในประเทศอเมริกาในปี 2007 ที่ผ่านมาโดย comScore บอกว่า ในอเมริกามีการซื้อขายผ่าน E-Commerce มากถึงเกือบ 4 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว ($123 พันล้านบาท) ซึ่งตัวเลขการซื้อขายออนไลน์นี้ยังไม่รวมการซื้อขายผ่านการประมูลสินค้าและการซื้อของบริษัทองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งหากมีการรวมตัวเลขเข้าไปน่าจะมีเพิ่มมากขึ้นอีกหลายพันล้านเลยทีเดียว
 

     ลองกลับมาดูประเทศไทยบ้าง จากการสำรวจของ สำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2550 พบกว่า มูลค่าการซื้อของผ่านออนไลน์ของคนไทยมีประมาณ 305,159 ล้านบาท เลยทีเดียว แต่ตัวเลขส่วนใหญ่ยังเป็นการซื้อของภาครัฐบาลเป็นหลัก (B2G – Business to Government) แต่ก็ทำให้เห็นได้ว่า การซื้อขายของผ่านทางออนไลน์ของไทย ได้เติบโตขึ้นอยากมากจากอดีต ซึ่งในปี 2549 มีตัวเลขการซื้อขายเพียง 220,924 ล้านบาทเท่านั้น    แต่ที่ล่าสุดกว่านั้น ทาง NECTEC ได้เปิดเผยตัวเลข การสำรวจกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตประเทศไทยประจำปี 2551 พบกว่า คนไทยส่วนใหญ่เคยซื้อของผ่านทางออนไลน์มากขึ้น 45.9% จากปี 2550 พบว่ามีคนไทยประมาณ 28.9% เท่านั้นที่เคยซื้อของออนไลน์ จะเห็นได้ว่าตัวเลขของผู้ที่เคยซื้อของออนไลน์ปี 2551 เพิ่มขึ้น 17% เลยทีเดียวซึ่งทำให้เห็นว่า แนวโน้มของการซื้อ-ขายของออนไลน์ของไทยกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบจากปีก่อนๆ

 

แนวโน้ม E-Commerce ในประเทศจะเป็นยังไง?

    ดังนั้นหากดูสภาพของการค้าขาย E-Commerce ในช่วงนี้ อาจจะต้องแยกเป็น "การค้าขายภายในประเทศ" และ "การค้าขายกับต่างประเทศ" ซึ่งดูจากแนวโน้มของ การค้าขายบนโลกออนไลน์ของไทยในปัจจุบัน ถือว่ายังมีแรง และกระแสเข้ามามาก โดยปัจจัยเด่นๆ เกิดจากจำนวนร้านค้าและธุรกิจที่เริ่มข้ามาสู่โลกออนไลน์มีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสาเหตุมาจาก "การเริ่มต้นทำการค้าขายทางออนไลน์สามารถทำได้ง่ายมากขึ้น" รวมถึงระบบชำระเงินและระบบขนส่งเริ่มดีและง่ายมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นและเข้าสู่การค้าออนไลน์ได้ง่าย  และปัจจัยนึงที่จะช่วยทำให้ การค้าในโลกออนไลน์ของภายในประเทศไทยเกิดขึ้นได้เพิ่มมากขึ้น เพราะเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ทำให้หลายๆ ธุรกิจเริ่มหันมามอง ช่องทางใหม่ ๆที่จะหาลูกค้าใหม่ๆ และเพิ่มรายได้ให้กับตัวเอง ซึ่งหลายๆ ธุรกิจก็หันมามองการค้าขายทางออนไลน์ ที่สามารถช่วยเพิ่มช่องทางการขายไปยังคนทั่วประเทศและทั่วโลก ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงผู้ซื้อภายในประเทศซึ่งเดียวนี้มีความรู้มากขึ้น ซึ่งหลายๆ คนมักจะเข้าไปค้นหาและซื้อหาสินค้าทางออนไลน์ เพราะด้วยความสะดวก และสามารถหาสินค้าได้ในราคาที่ถูกว่าท้องตลาดทั่วไปได้อย่างง่ายดาย  ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้โทรศัพท์ iPhone 3G รุ่นใหม่ที่เข้ามาขายใน ตามร้านค้าต่างๆ มีราคา 3-4 หมื่น แต่ในเว็บไซต์ www.ThaiSecondhand.com กลับสามารถหาโทรศัพท์รุ่นนี้ได้ในราคาเพียง 2 หมื่นนิดๆ เท่านั้น นี้คือตัวอย่างของความได้เปรียบทางด้านราคา ที่เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ซื้อเริ่มเข้ามาซื้อสินค้าทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

 

แล้ว E-Commerce ระดับประเทศหรือตลาดโลกละ?

    ตอนนี้หลายๆ คนที่ทำการค้าในตลาดโลก เริ่มบ่นกันมาแล้วว่า ยอดขายผ่านทางเว็บไซต์ลดลงไปมาก เช่น พ่อค้าคนไทยหลายๆ คนใน ebay.com ก็เริ่มบ่นมาเช่นเดียวกัน ว่ายอดขายช่องเดือน กันยายน 2550 นี้ลดลงไปเยอะเลยทีเดียว ปัจจัยน่าจะมาจาก การลดการใช้จ่ายลงของคนในอเมริกา ซึ่งต้องยอมรับว่าคนอเมริกา ส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นกลุ่มคนที่สร้างมูลค่าการซื้อ-ขายในออนไลน์ของตลาดโลกได้มากที่สุด เพราะตอนนี้คนในอเมริการส่วนใหญ่มักนิยมซื้อของผ่านทางออนไลน์ ซึ่งผลของการถดถอยของเศรษฐกิจในอเมริกา ส่งผ
ลให้เกิดการลดลงของการซื้อของคนในอเมริกา นั้นรวมถึงการซื้อของทางออนไลน์เช่นเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการค้าขายออนไลน์ไปทั่วโลก และรวมถึงการค้าขายของคนไทยที่ค้าขายไปยังต่างประเทศด้วยเช่นกัน ซึ่งตลาดใหญ่ที่กระทบสำหรับการค้าขายผ่านออนไลน์ของเมืองไทยในตอนนี้ จะเกี่ยวข้องกับสินค้าประเภท การท่องเที่ยว เช่นการจองโรงแรม หรือ แพ็กเกจทัวร์ต่างๆ ซึ่งได้รับผลกระทบบวกจากกระแสการเมืองในช่วงนี้เข้าไปอีก ปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นส่วนส่งให้การค้าขายทางออนไลน์ของตลาดในส่วนนี้ มีผลกระทบมาก และยอดขายอาจจะลดลงไปมากเลยทีเดียว
 

แก้ปัญหายังไงดี

    สำหรับผู้ที่โดนผลกระทบจากเหตุผลที่กล่าวมาในข้างต้น คำแนะนำในตอนนี้คือ คุณอาจจะต้องเริ่มมองหาตลาดใหม่เพิ่มเติม โดยเริ่มมองหาตลาดการขายสินค้าออนไลน์ ออกไปยังตลาดประเทศกลุ่มใหม่ เช่น ทางยุโรป หรือทางญีปุ่น ซึ่งยังมีกำลังซื้อและเป็นตลาดใหม่ที่น่าลองบุกไปดูในช่องทางออนไลน์ แต่ในประเทศที่ผมบอกมานี้ อาจจะมีอุปสรรค์บางอย่าง เช่น ภาษา และพฤติกรรมของผู้ซื้อ ที่อาจจะแตกต่างจากผู้ซื้อในกลุ่มประเทศอเมริกาอยู่มาก แต่ถ้าคุณอยากจะลองเปิดตลาดใหม่ดูแล้ว การเริ่มในช่วงนี้ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลา ที่น่าสนใจในการบุกและรุกเข้าไปยังตลาดใหม่ ที่คู่แข่งของคุณอาจจะยังไม่ได้เข้าไปมาก่อน ซึ่งอาจจะทำให้สินค้าของคุณสามารถขายได้เพิ่มมากขึ้น มาทดแทนในตลาดที่หดตัวลงในอเมริกา และภายหลังจากที่ตลาดอเมริกาฟื้นตัวแล้ว ตลาดของคุณอาจจะใหญ่เพิ่มมากขึ้นตามการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างที่คุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียว ฟังดูชักน่าสนใจแล้วใช่ไหมครับ .. ลองคิดต่อละกันว่า "เราจะขยายตลาดของเราไปยังประเทศอื่นๆ ยังไงนอกเหนือจากประเทศที่เรามีตลาดอยู่" ลุยเลยครับพี่น้อง…!

Pawoot P.
12/10/08

PS. สำหรับท่านที่สนใจ จะเริ่มต้นทำ E-Commerce หรือ E-Marketing สามารถหาอ่านเพิ่มเิติมได้ที่นะครับ

]]>