ทางเดลินิวส์มาสัมภาษณ์ผมครับ ผมเห็นว่าคำตอบน่าสนใจ เลยนำมาสรุปเก็บเอาไว้ เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ครับ

  1. การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือการค้าขายผ่านระบบออนไลน์ในรอบปีที่ผ่านมา มีผลสรุปในความเห็นของท่านเป็นอย่างไร (มีสถิติประกอบก็ได้ครับ)
    >> ส่วนตัวผมมองในรอบปีที่ผ่านมา มีการค้าขายที่เติบโตขึ้นอย่างมาก ผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น มีผู้ประกอบการมาเปิดเว็บไซต์ค้าขายออนไลน์ใน http://www.TARAD.com เพิ่มมากขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยตอนนี้มีร้านค้ารวม 167,000 ร้านค้า ยอดการค้าขายก็เพิ่มมากขึ้น และจำนวนผู้ประกอบการก็เริ่มมีการขยายตัวไปยังต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น

  2. รอบปีที่ผ่านมาได้เห็นการลงทุน การเข้าสู่ระบบของผู้ประกอบดั้งเดิม และรายใหม่ มากราย การเพิ่มขึ้นเช่นนี้ ท่านเห็นว่าดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่ ควรเพิ่มหรือลดสิ่งใด และมองเห็นว่า ยังมีประเด็นปัญหาใหม่ที่สวนทางขึ้นมา ที่ควรต้องระวัง
    >> ผมว่าที่ผ่านมามีทั้งผู้ประกอบการหน้าใหม่ ที่เพิ่มขึ้นมา และมีบางส่วนทีหายไป แต่ภาพรวมคือมีผู้ประกอบการหน้าใหม่ ที่เข้ามาสู่โลก E-Commerce เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ซึ่งผมดูจากปัจจุบันผมว่า มันควร "จะเพิ่มมากขึ้นกว่านี้" สิ่งใหม่ที่มีเพิ่มขึ้นมาคือ การเติบโตของ Social Network ซึ่งการค้าจะเริ่มขับเคลื่อน ผ่านไปยังการบริการเหล่านี้มากขึ้นโดยผมเรียกว่า "Social Commerce" การค้าผ่าน Social Network

  3. ที่ผ่านมา เริ่มมีการนำระบบ หรือการลงทุนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศเข้ามา ท่านเห็นว่า ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของไทยควรปรับตัวอย่างไร
    >> ผู้ประกอบการไทยควรปรับตัว ให้ออกไปนอกประเทศมากขึ้น เพราะตลาดการค้าของ E-Commerce จะประสบความสำเร็จมากๆ เมื่อเรามองที่ตลาดโลก การเชื่อมโยง (Mashup) กับระบบต่างๆของต่างประเทศเช่น Google, Facebook ก็เป็นแนวทางทีจะทำให้ผู้ประกอบการไทยออกไปยังต่างประเทศได้เร็วมากขึ้น และควรพัฒนาตัวอย่างอยู่ตลอดเวลา คอยจับตาเทคโนโลยีใหม่ๆ และนำมาช่วยในการลดต้นทุน การบริหาร

  4. ภาครัฐได้เข้ามาส่งเสริมบทบาทพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เช่นการ จัดอบรม การประมูลออนไลน์กับอีเบย์ ท่านเห็นว่า เพียงพอหรือสอดรับกับความเป็นไปของตลาดหรือไม่ ควรเสริมเพิ่มส่วนใดบ้าง
    >> ผมว่าก็ถือเป็นแนวโน้มที่ดี ที่ภาครัฐหันมาให้ความสนใจกับ E-Commerce มากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือ การทำงานของภาครัฐยังขาด การมองที่ "ภาพรวม (Frame Work)" ของ E-Commerce ของประเทศ ซึ่งจะเห็นได้จาก ความซ้ำซ้อนการทำงานของภาครัฐหลายๆ หน่วยงาน  ดังน้นการแก้ปัญหา คือการสร้างหน่วยงานกลาง ที่เข้ามารับผิดชอบงานด้านนี้อย่างชัดเจน "สำนักงานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์"

  5. การแข่งขันรอบปี 2553 น่าจะเป็นไปอย่างไร
    >> น่าจะมันส์ และมีความหลากหลายของผู้ให้บริการหน้าใหม่ เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาเพิ่มขึ้นของผู้ให้บริการเดิม ซึ่งอาจจะเห็นการเข้ามาของต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เพราะด้วยการขยายตัวและการขยายตลาดของผู้ให้บริการต่างประเทศที่จะเริ่มเข้า มามองตลาดในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

  6. กลุ่มสินค้าหลักที่จำหน่ายระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นอยู่มีอะไรบ้าง  ท่านเห็นว่าสินค้าใดน่าจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก
    >> ตอนนี้หากสินค้าหลักของกลุ่ม B2C ยังเป็นกลุ่มสินค้าแฟชั่นเป็นหลัก รองลงมาก็เป็นสินค้าทางด้าน ไอทีและโทรศัพท์มือถือ ส่วนสินค้าประเภท นาฬิกาจิวเวลลี่ และของเล่น รวมถึง ของแต่งบ้าน-เฟอร์นิเจอร์ ก็เป็นหมวดหมู่สินค้าที่มาแรงและน่าสนใจเลยทีเดียว

  7. ในปัจจุบัน มีสถาบันการศึกษาเปิดสอนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น เช่นนี้ จะทำให้ระบบการค้าในประเทศไทยได้ผลดีมากน้อยเพียงใด
    >> ปัจจุบันมีคนเข้าใจด้าน E-Commerce แท้จริง ยังไม่มากเท่าไร ดังนั้นการที่สถาบันต่างๆ เปิดสอนหลักสูตรทางด้าน E-Commerce จะทำให้ ทรัพยากรด้านบุคคลของไทยมีความเข้าใจ และการพัฒนาในด้าน E-Commerce มากขึ้น  ซึ่งหากคนเหล่านี้ เข้าไปอยู่ในองค์กร หรือบริษัทต่างๆ ก็จะมีการนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้ ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาการค้าในรูปแบบใหม่ๆ ผ่าน E-Commerce เพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศ เติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น