Web Summit ถือว่าเป็นงานประชุมทางด้านเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีคนเข้าร่วมงานถึง 70,000 คนจากทั่วโลกมาที่ลิสบอน มีเงินจำนวนมหาศาลที่ถูกใช้จ่ายในเมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็นค่าที่พักในโรงแรม ค่ากินค่าอยู่ ฯลฯ ที่ผู้คนไปอยู่กันเป็นอาทิตย์ งานนี้จึงเป็นงานหนึ่งที่ลิสบอนเปิดเมืองหลวงต้อนรับทุกอย่าง ถือว่าเป็นงานระดับประเทศเลย และงานนี้ถือเป็นต้นตำรับในการประชุม งาน conferrence ทางด้านเทคโนโลยีของหลาย ๆ งานในโลกด้วย
ในงานนี้มีวิทยากรร่วมงานเยอะมากประมาณ 1,700 คน ทั้งงานประชุมเล็กประชุมน้อยเต็มไปหมดเลย มีบูธ มีเซกชั่นต่าง ๆ มีสัมมนาเต็มไปหมดเลย ตลอด 3-4 วันมีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย มีผู้บริหารระดับสูงของหลายบริษัท อย่าง Microsoft, Facebook, Google ฯลฯ มากันเต็มไปหมด ทุกคนต่างขนเทคโนโลยีมีโชว์กัน
ไฮไลต์ของปีนี้ในเชิงของเทคโนโลยีที่เด่น ๆ ก็เช่น เรื่องของ AI เป็น case study ที่เริ่มกลายเป็นจริง มากขึ้น ๆ เรื่องของผู้หญิงในวงการเทคโนโลยี (Woman on Tech) เรื่องของ Startup ยังคงมีอยู่ มีเรื่องของ Cooperate Innovation หรือนวัตกรรมในระดับองค์กร เรื่องเกี่ยวกับผู้ประกอบการ (Entrepreneur) Automotive in Car System หรือเทคโนโลยีในรถยนต์ และ Environment เรื่องของสิ่งแวดล้อมที่ให้ความสำคัญอย่างมาก นับว่าเป็นงานที่อลังการมาก
ผมประมาณว่ามีคนไทยเข้าร่วมงานไม่น้อยเลยทีเดียว บอกได้เลยว่าเทคโนโลยีที่นำมาแสดงกันนั้นมีความล้ำหน้า มีบริษัทสตาร์อัพของไทยที่ไปออกบูธด้วยเช่นกันกัน อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่ายังมีความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม หรือการเป็นอยู่จริง ๆ อย่างสตาร์อัพบางตัวเมื่ออยู่ในไทยเราดูว่าเวิร์คมาก แต่พอไปเปิดหรือไปตั้งที่นั่นพบว่าเขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
ซึ่งมีบริษัทหนึ่งที่เป็นสตาร์ทอัพทางด้านเครือข่ายร้านขายยาออนไลน์ ชื่อว่า อรินแคร์ เป็นหนึ่งในผู้ที่ชนะในงานดีแทค แอคเซอเลอเรท ปรากฏว่าคนยุโรปกลับสงสัยว่าทำไมถึงมีร้านขายยาในรูปแบบนี้ ซื้อยาได้เลยหรือไม่ เพราะในยุโรปนั้นการจะซื้อยาตรง ๆ ยังทำไม่ได้ ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์เท่านั้น ฯลฯ ธุรกิจบางอย่างที่อาจจะเวิร์คในประเทศไทยหรือในฝั่งยุโรป แต่เมื่อมีการข้ามทวีปไป เจอผู้คนในต่างรูปแบบ ต่างวัฒนธรรมก็อาจจะไม่เวิร์คเลยก็ได้
ในแต่ละเซกชั่นที่เขาแบ่งนั้น เช่น เรื่องของ content maker บอกได้เลยว่ายุคนี้เป็นยุคที่คนเริ่มทำคอนเทนต์เองมากขึ้น เรื่องของ creator คนสร้างสรรค์คอนเทนต์ ซึ่งเมื่อสร้างสรรค์เสร็จปุ๊บก็มีทั้ง influencer อยู่ใน Youtube บ้าง Instagram บ้าง Facebook บ้าง จากเมื่อก่อนเราเสพข่าวจากทีวี นสพ. แมกาซีนแต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เราเริ่มมาเสพข้อมูลข่าวสารจากบางคนที่เป็น creator หรือบางคนที่เป็น Influencer มีทั้งที่เป็นดารา เป็นคนปรุงอาหาร ฯลฯ เราเริ่มมาติดตามจากคนที่เป็นคนธรรมดามากขึ้น
มีการพูดถึงเรื่อง SaaS Monster เป็นเวทีหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมมาก SaaS (Software as a Service) เป็นการบริการซอฟต์แวร์ทางออนไลน์ มีคนเก่ง ๆ หลายคน มีเวที MusicNotes ที่พูดถึงเรื่องดนตรี เวที HealthConf เรื่องสุขภาพ เวที DeepTech เรื่องเทคโนโลยีแบบลงลึก มีการเอาหุ่นยนต์มานั่งคุยกัน เอาหุ่นยนต์ที่เป็นสัตว์ เช่น หุ่นยนต์สุนัขมาวิ่งกันจริง ๆ
และอีกเวทีหนึ่งที่ผมค่อนข้างจะชอบคือเวทีที่พูดถึงโมเดลธุรกิจแบบใหม่ from freemium to premium เช่น เราทำธุรกิจขึ้นมาแล้วให้คนใช้ฟรี เมื่อใช้จนติดแล้วจึงเสนอบริการแบบเก็บเงินขึ้นมา หลายบริการบนโลกออนไลน์ตอนนี้เป็นแบบ freemium เมื่อคุณชอบติดใจแล้วจึงมาจ่ายเงิน เช่น บริการของ Youtube Premium
ต้องบอกว่าโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ เป็นโมเดลที่น่าสนใจมากและเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อมีอินเทอร์เน็ตเข้ามา และเมื่อมีการเปิดฟรีปุ๊บ โอกาสที่ลูกค้าจะเข้ามาใช้บริการก็ง่ายขึ้นเพราะไม่มีกำแพง หากใช้บริการแล้วชอบใช้ไปเรื่อย ๆ แล้วจึงค่อยมาเก็บค่าบริการ ต้องบอกว่าโมเดลนี้เป็นโมเดลที่น่าสนใจมาก
ตัวอย่างที่ดีคือ Adobe ซึ่งทุกคนคงรู้จักกันเป็นอย่างดี เดี๋ยวนี้มีการให้บริการเป็นแบบ SaaS คือเอาซอฟต์แวร์ไปติดตั้งได้เลยเป็นคลาวด์ สามารถใช้ฟรีได้ มีการเปลี่ยนบิสเนสโมเดลใหม่เป็นการเก็บรายเดือนแทน ราคาถูกลงกว่าเดิม จึงทำให้เกินฐานลูกค้ากว้างมากขึ้นทันที ปรากฏว่าตัวเลขย้อนหลัง 3 ปีของ Adobe ตอนนี้รายได้ทะลุทุกปี โตทุกปี และอีกโมเดลที่ Adobe เปลี่ยนก็คือเริ่มเข้าสู่การเป็น Long Term Marketing ที่เป็นการเก็บแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ เก็บคนทั่วไป แต่เก็บทั่วโลก รายได้กลับเติบโตมหาศาล
ฉะนั้นจึงอยากให้คนทำธุรกิจหลาย ๆ คนอย่าติดอยู่กับบิสเนสโมเดลแบบเดิม เช่น การเก็บเงินแบบเดิม ๆ เก็บเป็นก้อนใหญ่ ๆ ทำไมไม่คิดวิธีการเก็บเงินรูปแบบใหม่ขึ้นมาบ้าง เดี๋ยวนี้การทำแบบ subscription หรือแบบสมัครสมาชิกทำได้ไม่ยากแล้ว หลายคนมีบัตรเครดิต มีระบบชำระเงินบนโลกออนไลน์มากมายที่เราสามารถหักเงินลูกค้าได้ทันทีในทุกเดือน การหักเงินเป็นเดือน ๆ แบบนี้ทำให้ถูกลงแต่สามารถเก็บเงินเขาได้ตลอด แถมฐานลูกค้าของคุณจะกว้างมากขึ้นด้วย
นี่เป็นสิ่งที่ผมอยากฝากทุกท่านเอาไว้ ตอนนี้ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีเท่านั้นที่เปลี่ยน ในแง่ของบิสเนสโมเดล รูปแบบการทำธุรกิจ การเก็บเงิน การเข้าถึงลูกค้า มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ฉะนั้นหากคุณยึดติดกับรูปแบบเดิม ๆ บอกได้เลยว่าอันตรายมากเลยทีเดียว