ผมมีโอกาสได้นั่งคุยกับตัวแทนในประเทศไทยของ Amazon.com ซึ่งตอนนี้ได้เข้ามาบุกตลาดไทยมากขึ้น แต่เป็นการบุกเข้ามาในเชิงที่จะนำผู้ประกอบการไทยออกไปขายในตลาดโลก
ตอนนี้ Amazon มีมาร์เก็ตเพลสทั้งหมด 18 แห่งทั่วโลกทั้งในฝั่งยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย สิงคโปร์ ฯลฯ และมีความแข็งแรงมากเลยทีเดียว การเข้ามาในไทยของ Amazon ครั้งนี้จะโฟกัสไปที่ตลาด 2 ตลาดก็คือ ตลาดอเมริกาและสิงคโปร์ นอกจากนั้นเขายังมองว่าสินค้าไทยสามารถนำออกไปขายได้ในอีกหลาย ๆ ตลาดในโลกนี้
ประเทศไทยมีสินค้าดี ๆ เยอะมากแต่ยังไม่ได้ทำเป็นระบบที่จะ Cross Border ด้วยอีคอมเมิร์ซได้ เราอาจจะรู้สึกเฉย ๆ กับสินค้าของเราเอง แต่หากเรามีโอกาสไปเดินสำรวจตลาดเพื่อนบ้านอย่างลาว เวียดนาม กัมพูชา พม่า เราจะพบว่ามีสินค้าของไทยวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตเต็มไปหมด
ตอนนี้ระบบขนส่งนั้นทำได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น การหาตัวแทนก็ง่ายขึ้น ที่ผ่านมาจึงมีคนประเภทที่เป็นคนกลางนำสินค้าไทยออกไปขายต่างประเทศ หรือในประเทศที่กล่าวมาข้างต้น หรือบางคนก็นำไปขายใน eBay หรือ Amazon ซึ่งก็มีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่คำถามที่น่าสนใจก็คือ ระหว่างการที่เป็นคนมาซื้อแล้วนำไปขายต่อ ไม่ใช่เจ้าของแบรนด์เอง กับเจ้าของแบรนด์นำไปขายเอง อย่างไหนที่จะดีกว่ากัน แน่นอนว่าอย่างหลังย่อมมีความได้เปรียบมากกว่า
เดี๋ยวนี้การที่จะนำสินค้าไปขายใน Amazon คุณไม่จำเป็นต้องมีสินค้าเองก็ได้ เพียงแค่มองเห็นโอกาสหรือรู้ว่าสินค้าใดที่ขายดีมาก ๆ ก็นำสินค้าเหล่านั้นมาทำเป็นแบรนด์ของตัวเองแล้วส่งขายออนไลน์ในตลาดต่างประเทศได้เลย
ข้อดีของการทำเป็นแบรนด์ แน่นอนข้อแรกก็คือเป็นแบรนด์ของตัวเอง ในแง่ของกำไรก็ย่อมจะดีมากกว่า เช่น หากขายปากกาลบคำผิดขายในไทยอาจจะขายได้แค่ 1 ดอลลาร์ แต่เมื่อไปขายที่อเมริการาคาอาจจะขึ้นไปถึง 4 ดอลลาร์ก็ได้
นั่นคือคุณต้องเข้าไปรีเสิร์ชใน eBay หรือ Amazon ให้รู้แน่ว่าสินค้าตัวไหนที่มีโอกาส ตัวไหนที่มีการแข่งขันสูง เมื่อเห็นโอกาสเกิดขึ้นหรือค้นพบสินค้าที่สามารถนำไปใส่ในแพลตฟอร์มอย่าง eBay หรือ Amazon ได้ คุณก็สามารถนำเข้าไปขายได้เลยทันที
พูดถึงการทำรีเสิร์ช เมื่อก่อนการทำรีเสิร์ชแบบเดิม ๆ ข้อมูลหรือ data ก็มีวิธีการเข้าไปหาแบบหนึ่งซึ่งต้องใช้เวลาและขั้นตอนยุ่งยาก แต่ในยุคนี้เราสามารถเข้าไปหาได้ง่ายมากขึ้น ไม่ถึง 10 นาทีก็ได้ข้อมูลมาแล้ว แถมยังมีความแม่นยำที่มากขึ้นด้วย
การหาข้อมูลยุคนี้อาจใช้แพลตฟอร์มที่เป็นพวก social listening เช่น จาก Wisesight หรือ Zanroo ฯลฯ หรือแม้แต่ Google Trend ก็เป็นตัวหนึ่งที่เราสามารถนำข้อมูลออกมาวิเคราะห์ได้ว่า ตอนนี้คนไทยหรือคนทั่วโลกกำลังค้นหาอะไรกันบ้าง การถูกค้นหามาก ๆ นั้นสามารถสะท้อนว่าสินค้าหรือสิ่งที่คนค้นหานั้นเป็นที่ต้องการสูง
หรือแม้แต่ข้อมูลเรื่องของการค้นหาว่า ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร บางครั้งไปถึงเรื่องของราคา ก็สามารถเก็บข้อมูลเหล่านี้มาได้ด้วย รวมถึงการเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ แม้แต่ข้อมูลลับขององค์กรต่าง ๆ ของประเทศต่าง ๆ ข้อมูลเถื่อน ข้อมูลการผลิต ฯลฯ ก็สามารถทำได้ ยุคนี้อยากได้ข้อมูลอะไรก็ตามกดสองทีก็เจอแล้ว บอกได้เลยว่ามันง่ายมากจริง ๆ
ฉะนั้น ต้นทุนด้านเวลาในเรื่องการหาข้อมูลบอกได้เลยว่ามันลดลง มันรวดเร็วมากขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมธุรกิจต่าง ๆ ถึงวิ่งเร็วเพราะข้อมูลมันเร็ว ข้อมูลมีมากมหาศาล คนสามารถดึงหรือรวบรวมมาได้ การตัดสินใจในการทำธุรกิจจึงแม่นยำมากขึ้น
ดังนั้น โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะวิ่งเข้าไปหาโอกาสหรือปล่อยให้มันผ่านไป โลกหมุนเร็วขึ้น ธุรกิจก็วิ่งเร็วขึ้น คุณจึงต้องเริ่มออกวิ่งตั้งแต่ตอนนี้ อย่ามัวแต่คิด ทำเลยครับ