ในโลกออนไลน์มี Digital Footprint ที่เป็นร่องรอยทิ้งไว้โดยที่คุณอาจจะไม่รู้ตัว สังเกตว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นตำรวจสามารถติดตามได้ไม่ยาก ตำรวจสามารถดูข้อมูลสภาพแวดล้อมได้ว่าแถวนั้นมีกล้องวงจรปิดอยู่ตรงไหนบ้าง คนร้ายอาจจะผ่านในช่วงเวลาไหนบ้าง ตรงไหนมีกล้องวงจรปิดอยู่ก็จะเริ่มไล่ดูได้หมด 

หากตำรวจรู้ว่าคนร้ายอยู่ในช่วงเวลาไหน หรือรู้เบอร์คนร้ายก็สามารถจะโยงเรื่องราวหรือข้อมูลได้ นี่คือข้อมูล Footprint ทั้งหมดเลย ทุกอย่างถูกถอดออกมาเป็นตัวตนของคนนั้นได้หมดเลย และยังถอดข้อมูลได้แบบขุดรากถอนโคนได้เลย

ในยุคนี้การติดตามคนจึงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ฉะนั้น ในแง่ของการเก็บข้อมูลประวัติหรือร่องรอยดิจิทัลมี 2 อย่างคือ 

1. การเก็บข้อมูลแบบไม่รู้ตัว (Passive Digital Footprint) เช่น เมื่อใช้อินเทอร์เน็ตก็จะมีการเก็บ IP เก็บช่วงเวลา เก็บตำแหน่งที่อยู่ 

หรือเวลาที่ไปค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ในเว็บไซต์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น 1. กูเกิล 2. เฟซบุ๊ก โดยเฉพาะในเฟซบุ๊กนั้นทุกคำทุกข้อความที่พิมพ์ถึงแม้ว่าจะลบทิ้งหรือไม่ได้กดส่งก็ตาม แต่เฟซบุ๊กก็เก็บไว้หมด และจะสะท้อนพฤติกรรมตัวตนของเราได้ด้วยว่าเป็นอย่างไร 3. กูเกิลแม็พ จะเก็บตำแหน่งของเราตลอดเวลา 4. เฟซบุ๊ก เก็บข้อมูลทุกอย่างของเราจำนวนมาก เก็บเสียงด้วย ตอนนี้ทั้ง apple และ andriod เริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลทำให้เฟซบุ๊กถูกจำกัดมากขึ้น 

เมื่อย้อนกลับไปดูกูเกิลจะเห็นว่าเป็นบริษัทที่มีบรการหลากหลายมาก หลายคนไม่ตระหนักว่าข้อมูลของเราไปอยู่ในกูเกิลมากขนาดไหน เช่น ในยูทูป กูเกิลแม็พ gmail ฯลฯ กูเกิลมีบริการอยู่ 2 ตัวที่เราสามารถเห็นข้อมูลของเราได้

1) ดูกิจกรรมในกูเกิลได้ทุกกิจกรรม ที่ https://myactivity.google.com/ จะเห็นข้อมูลทุกอย่างของตัวเองมากมาย บอกได้ว่ามีการค้นหาอะไรไปบ้าง เข้าเว็บไหนบ้าง ฯลฯ ดูได้ละเอียดมาก

2) ดาวน์โหลดข้อมูลที่อยู่ในทุกบริการที่กูเกิลเก็บไว้ได้ทั้งหมด ด้วยกฎหมายเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลของแต่ละประเทศซึ่งส่วนสำคัญของกฎหมายคือ เจ้าของข้อมูลต้องสามารถบริหารจัดการข้อมูลของตัวเองได้ กูเกิลจึงมีบริการที่ชื่อว่า https://takeout.google.com/ เป็นบริการที่สามารถ export ข้อมูลของเราที่อยูภายใต้แอคเคานท์ของเราในกูเกิลออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นใน Google, Calendar, Map, Photo, Fit ฯลฯ ทั้งหมดที่มีถูกเก็บไว้หมดเลย 

นั่นคือข้อมูลที่เป็น Digital Footprint ที่ถูกเก็บแบบเราไม่รู้ตัว ถึงแม้ว่าจริง ๆ เราควรจะรู้เพราะทุการใช้บริการในโลกออนไลน์จะต้องมีการกดยินยอมก่อน และการกดยินยอมก็คือการยอมให้บริการเหล่านั้นเก็บข้อมูลของเราไป

ข้อมูลที่เป็น Digital Footprint ที่ถูกเก็บแบบเราไม่รู้ตัวอีกอแบบก็คือการกดเอทีเอ็ม ธนาคารก็จะรู้ว่าเรากดที่ไหน จำนวนเท่าไหร่ เวลาไหน และมีกล้องติดไว้ทำให้เห็นหน้าว่าเป็นใคร แม้แต่โทรศัพท์มือถือที่มีข้อมูลส่วนบุคคลเยอะมาก ๆ 

บอกได้แม้กระทั่งว่าเรามีพฤติกรรมการขับรถอย่างไรโดยดูจากความเร็วของการเคลื่อนที่ของโทรศัพท์มือถือ บอกได้ว่าเราเป็นคนที่มีการเหยียบเบรคกระชั้นหรือไม่ เป็นคนที่ขบรถแบบหักเลี้ยวทันทีหรือไม่ หรือบอกได้ว่าเป้นคนที่มีไลฟ์สไตล์แบบไหน ฯลฯ ข้อมูลมือถือจะไปผูกกับสถานที่ต่าง ๆ ทั้งหมดนี่เป็นข้อมูลที่ถูกเก็บแบบที่เราไม่รู้ตัวหรือ Passive Digital Footprint เป็นแบบที่ค่อนข้างน่ากลัวและหลายคนไม่ค่อยตระหนักว่าข้อมูลแบบนี้ถูกเก็บอย่างไร

แต่ในโลกของเทคโนโลยีหรือการติดตามของตำรวจ ข้อมูลเหล่านี้มีความจำเป็นมาก ทุกครั้งที่มีการสืบสาวเรื่องราวต่าง ๆ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกหยิบยกขึ้นมาใช้ในการวิเคราะห์หาต้นตอ เอามาเป็นเครื่องมือ เป็นข้อมูลในการตีแผ่เรื่องราวต่าง ๆ

2. การเก็บข้อมูลแบบตั้งใจ (Active Digital Footprint) เป็นประวัติการเก็บข้อมูลแบบที่เราตั้งใจ เช่น โพสต์ข้อมูลลงโซเชียลมีเดีย การเขียนหรือส่งข้อมูลหรือข้อความต่าง ๆ ทางออนไลน์ การส่งอีเมล ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้เป็นลักษณะของการตั้งใจที่จะเก็บ

ในเชิงของธุรกิจก็มีข้อมูลมากมายที่สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ เช่น วิเคราะห์คู้ค้าหรือคู่แข่ง เราสามารถเข้าไปดูข้อมูลในบริการของกระทรวงพาณิชย์ได้ หรือดูได้จากบริษัทที่ชื่อว่า Creden Data (https://creden.co) แค่กรอกชื่อบริษัทก็สามารถดูได้ถึงงบการเงิน ผู้ถือหุ้น การรับงานของภาครัฐ การประมูลภาครัฐเท่าไหร่ มีการจดภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ มีโอกาสคอร์รัปชันหรือไม่ ดู credit term หากต้องการปล่อยกู้หรือให้ credit term เท่าไหร่ ฯลฯ 

หรือการเก็บข้อมูลจากโซเชียลมีเดียทั้งหมดของบริษัท Wisesight (https://wisesight.com) วันหนึ่ง ๆ มีการเก็บข้อความที่เป็นสาธารณะประมาณเกือบ ๆ 20 ล้านข้อความ เมื่อมี Big Data ก็สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ในเชิงธุรกิจ นอกจากนี้ในเชิงเรื่องของบุคคลหรือ HR ก็สามารถนำข้อมูลบนออนไลน์มาใช้วิเคราะห์ในการรับคนให้เหมาะสมกับองค์กรได้อีกครับ