<![CDATA[
เดียวนี้การโฆษณาขายสินค้าผ่านช่องทางเว็บไซต์หรือออนไลน์กำลัง เป็นสื่อที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะด้วยสาเหตุหลายปัจจัย ที่ผู้ที่เลือกใช้สื่อนี้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์หลังจากได้ใช้แล้ว ก็เริ่มและนำมาใช้เป็นสื่อหลักในการประชาสัมพันธ์ โดยปัจจัยที่ทำให้สื่อโฆษณาทางออนไลน์เป็นที่สนใจของหลายๆ คนได้แก่
- เข้าถึงกลุ่มได้กว้าง ทั่วประเทศ และทั่วโลก และเปิดดูได้ 24 ชั่วโมง
- ราคาสื่อโฆษณาต่ำ ไม่แพงเมื่อเทียบกับสื่ออื่นๆ
- ได้ผลตอบรับดีกว่า และสามารถวัดผลได้แน่นอน
- ให้ข้อมูลได้ครบถ้วนกว่า ทั้งตัวหนังสือ ภาพ เสียง หรือเป็นวีดีโอ
นี้เป็นเพียงแค่ปัจจัยบางส่วนเท่านั้น แต่ใครจะรู้บ้างไหมว่า มีทิปและเทคนิคยังไงในการลงโฆษณาผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ให้ได้ผลกลับมาอย่างคุ้มค่ามากที่สุด? วันนี้ผมจะมาเปิดเผยถึงเทคนิคนี้
จริงๆ แล้วการลงโฆษณาทางช่องทางออนไลน์ มีปัจจัยหลักๆ อยู่ 2 ส่วนด้วยกันที่ผู้ลงโฆษณาต้องคำนึง และจำใส่กบาลเอาไว้ คือ
- ทำอย่างไรให้คนคลิกโฆษณาของเรา
- ทำอย่างไรให้คนซื้อสินค้าหรือบริการของเรา
แค่นี้แหละครับ.. โฆษณาออนไลน์ของคุณก็จะสามารถเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจของคุณได้อย่างไม่ยาก แต่เอ? ดูง่ายๆ แค่ 2 ข้อแต่จะทำจริงๆ ให้มันได้ผลมันมีปัจจัยอะไรอีกหลายๆ อย่างเลยนะครับ ลองมาลงรายละเอียดกันแต่ละข้อกันดีกว่าเด้อ
ทำยังไงให้คนคลิกโฆษณาของเรา?
การลงโฆษณาธุรกิจ สินค้าหรือบริการของคุณทางออนไลน์ปัจจุบัน มีรูปแบบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น แบนเนอร์ (แถบภาพโฆษณา), โฆษณาแบบตัวหนังสือ (Text Ads), โฆษณาเป็นวีดีโอ หรืออีกหลายรูปแบบที่มีมามากมายหลากหลาย แต่เป้าหมายของโฆษณาออนไลน์ทุกอันที่ปรากฏขึ้นมาก “ทำยังไงก็ได้ให้คนคลิกหรืออ่านโฆษณา” (ในบทความนี้ผมขอเน้นไปที่การขาย ไม่ได้เน้นไปที่การโฆษณาการสร้างแบรนด์ซึ่งจะมีเทคนิคที่แตกต่างกันออกไป) ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้คนคลิกหรือสนใจที่โฆษณาที่คุณลงโฆษณาเอาไว้ คือ เป้าหมายหลัก ในการที่คุณไปลงโฆษณา และหลายๆ ที่ครั้งโฆษณาของคุณ ก็อาจจะต้องไปแข่งขันกันกับโฆษณาอื่นๆ บนหน้าเว็บไซต์หรือพื้นที่เดียวกันกับโฆษณาอื่นๆ แต่เราจะทำยังไงดีละให้คนสนใจ และคลิกที่โฆษณาของเรา? เอ้ามาดูกัน
เลือกลงโฆษณาที่กลุ่มเป้าหมายตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์ของคุณ
คุณควรเลือกลงโฆษณาในเว็บไซต์ที่ที่กลุ่มเป้าหมายตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ (ดูข้อ 2 เรื่อง การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย หน้า xx) ซึ่งบางครั้งหากคุณสามารถเลือกเว็บไซต์ที่มีกลุ่มเป้าหมายตรงกับเว็บไซต์ของ คุณแล้วละก็ คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินกับเว็บไซต์ที่คนเข้ามากๆ ก็ได้ เพราะการลงโฆษณากับเว็บไซต์ที่กลุ่มเป้าหมายตรงกับของคุณ อาจจะเลือกลงกับเว็บไซต์เล็กๆ ก็ได้ทำให้ราคาโฆษณาไม่แพงมากนั้น เช่น หากคุณมีเว็บไซต์เ
ี่ยวกับ อาหารสุนัข คุณก็อาจจะเลือกลงโฆษณากับเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับสุนัขที่มีคนเข้าเยอะได้เช่น กัน ซึ่งโฆษณาอาจจะไม่แพงเท่ากับเว็บไซต์ที่มีคนเข้าเป็นจำนวนมากๆ ก็ได้ ซึ่งคนเข้ามาก แต่กลุ่มเป้าหมายอาจจะไม่ตรงกับกลุ่มที่คุณต้องการเท่าไร
เทคนิคการหาเว็บไซต์ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ
1. การเลือกจากเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลเว็บไซต์เป็นกลุ่ม (Directory)
ให้ลองเข้าไปที่ www.Truehits.net เว็บไซต์รวบรวมข้อมูล-และจัดอันดับเว็บไซต์ในเมืองไทย โดยใน Truehits.net จะมีการจัด “สารบัญเว็บไทย” เอาไว้เป็นหมวดหมู่ เช่นหมวด ธุรกิจ, อสังหาริมทรัพย์, กีฬา, บันเทิง เป็นต้น ซึ่งภายในแต่ละหมวด ก็จะมี “การจัดอันดับ” เว็บไซต์ในไทย ในแต่ละหมวดที่มีคนเข้าเยี่ยมชมมากที่สุด ซึ่งคุณสามารถเลือกได้เลยว่า หมวดหมู่ของเว็บไซต์ ไหนที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายเดียวกับเว็บไซต์ของคุณ ก็เลือกลงได้เลย เช่น คุณเป็นเจ้าของเว็บไซต์ของ อะไหล่รถยนต์ ก็สามารถเข้าไปดู ในหมวดรถยนต์ และเลือก ว่าจะลงโฆษณากับเว็บไซต์เกียวกับรถยนต์เว็บไหนที่มีคนเข้ามามากที่สุด
2. การเลือกลงจากเว็บไซต์ที่มีความคล้ายคลึงกัน (Related Site)
อย่างแรงกที่คุณต้องทำคือ ต้องหา"เว็บที่กลุ่มเป้าหมายของคุณเข้าประจำให้ได้เว็บแรกก่อน" หลังจากนั้นลองใช้ tools หรือ เว็บไซต์ ที่จะสามารถแนะนำ เว็บไซต์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเว็บไซต์ที่เรากำลังหาอยู่ได้ (Related Web Sites) เช่น
- Alexa.com (ค้นหาเว็บไซต์แล้วกดที่เมนู Related Site)
- Google.com (ค้นหาเว็บนั้นออกมา แล้วกดที่ Related หรือ "ไกล้เคียง" มันจะแสดงเว็บไซต์ที่มีความใกล้เคียงออกมาให้เห็น)
3 ลองใช้ Google Ad Planner
Google ได้เปิดบริการ Google Ad Planner เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยให้กับผู้ที่สนใจลงโฆษณา เพื่อทำการวิเคราะห์ ว่าเว็บไซต์เราที่จะไปลงโฆษณา มีข้อมูลพื้นฐานยังไงบ้าง เช่น จำนวนคนเข้าเว็บไซต์ UV, PageView, ตำแหน่งโฆษณา หมวดหมู่ของเว็บนั้นๆ ทำให้เราสามารถเข้าใจเว็บที่จะไปลงได้ง่ายมากขึ้น รวมถึงสามารถทำวางแผนการลงโฆษณาได้
หรืออาจจะลองไปเลือกลงโฆษณากับเว็บไซต์ www.TARAD.com เว็บไซต์ขายของ ที่มีการแบ่งหมวดหมู่สินค้าออกเป็นหลายๆ หมวดหมู่ที่ สามารถวิเคราะห์ได้เลยว่าหมวดไหน จะตรงกับกลุ่มของลูกค้าของคุณเช่น คุณขายสินค้าแฟชั่น ก็เลือกลงในหมวดแฟชั่น คุณขายโทรศัพท์มือถือ ก็เลือกลงในหมวดมือถือได้เลย ได้กลุ่มลุกค้าที่ตรงกลับความต้องการแน่นอน และมีความต้องการซื้อสินค้าด้วย
ควรเลือกลงโฆษณาหลายๆเว็บไซต์
การลงโฆษณาหลายๆ เว็บไซต์ (กลุ่มเป้าหมายต้องตรงกับกลุ่มที่คุณต้องการด้วย) จะช่วยทำให้ คุณมีหลายช่องทางในการแนะนำเว็บไซต์หรือแคมเปญโฆษณาของคุณผ่านช่องทางที่ หลากหลาย และสามารถวัดผลได้ว่า เว็บไซต์หรือช่องทางไหนที่ส่งคนมาให้เว็บไซต์ของคุณมากที่สุด และพยายามเลือกช่วงเวลาที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของเรามากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นเว็บไซต์ขายของเล่น เราก็ควรเลือกไปลงโฆษณากับเว็บไซต์ที่มีกลุ่มเด็กๆ นิยมเข้าไป แล้วเลือกลงโฆษณาในช่วงเวลา ตอนเย็นวันธรรมดา และวันเสาร์อาทิตย์ หรือช่วงเปิดเทอม์ เพราะจะเป็นช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหม
ายของคุณ เข้ามายังเว็บไซต์มากที่สุด เพรานอกเหนือเวลาดังกล่าวเด็กๆ อาจจะไม่มีโอกาสเห็นโฆษณาของคุณ เพราะติดเรียนอยู่ในโรงเรียน
ทำแบนเนอร์โฆษณาหลายๆ รูปแบบ
ควรทำแบนเนอร์โฆษณา (โฆษณาในรูปแบบแถบรูปแบภาพ) หลายๆ รูปแบบ เพราะแบนเนอร์โฆษณา 1 อันจะมีวงจรชีวิต ในเว็บไซต์ ไม่เกิน 2 อาทิตย์ ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ แบนเนอร์โฆษณาที่คุณทำมา หลังจากลงโฆษณาไปแล้ว 2 อาทิตย์ อัตราการคลิกโฆษณาผ่านแบนเนอร์นั้นๆ เข้ามาก็จะเริ่มลดน้อยลง เพราะคนส่วนใหญ่จะเมื่อเห็นแบนเนอร์แล้วก็จะไม่คลิกโฆษณานั้นอีก ดังนั้น คุณควรมีรูปแบบแบนเนอร์หลายๆ รูปแบบและลงในแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกันออกไป
ภาพโฆษณาแบบแถบภาพโฆษณา (Banner)
ภาพโฆษณาแบบตัวหนังสือ (Text Ads)
ชัยภูมิหรือตำแหน่งที่ตั้งของโฆษณา
ตำแหน่งที่แสดงโฆษณาคือปัจจัยที่สำคัญข้อแรกๆ ที่คุณต้องให้ความสนใจเป็นอันดับหนึ่ง
- เลือกโฆษณาในเว็บไซต์หรือหมวดหมู่ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
ข้อนี้สำคัญมาก เช่นหากคุณต้องการขายอาหารสัตว์ คุณก็ควรจะเลือกลงโฆษณาในเว็บไซต์หรือหมวดที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ เพราะในหมวดนั้นๆ ก็จะมีผู้เข้ามาชมเว็บไซต์ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกับสินค้าหรือบริการของคุณ
- ตำแหน่ง หรือพื้นที่ในการวางโฆษณายังคือปัจจัยที่สำคัญ
ส่วนใหญ่การลงโฆษณาในเว็บไซต์ หน้าแรกของเว็บไซต์เป็นตำแหน่งที่หลายๆ คนนิยมเลือกไปลงโฆษณา เพราะจะเป็นหน้าที่คนเข้ามาเป็นหน้าแรก และเข้ามามากที่สุด แต่ราคามันก็แพงสุดด้วยเช่นกัน การเลือกไปลงโฆษณาในหน้าอื่นๆ หรือ หมวดหมู่หรือเซ็กชั่น (Section) อื่นๆ อาจจะได้ผลมากว่าหน้าแรก เพราะในหมวดหมู่ย่อย อาจะมีกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับสินค้าหรือบริการของคุณมากกว่า และยังมีราคาที่ถูกกว่าหน้าแรกอยู่มาก ทำให้โฆษณาของคุณสามารถผ่านสายตาคนดูได้นานมากขึ้น
- โฆษณาออนไลน์ ยิ่งมีขนาดใหญ่เท่าไร ก็ยิ่งมีคนเห็นและสนใจมากขึ้นเท่านั้น
แต่ปัจจัยที่ตามมาเมื่อขนาดของโฆษณามีขนาดใหญ่ก็คือ ราคาก็จะแพงเป็นเงาตามตัว
หลักการออกแบบสื่อโฆษณา
การออกแบบตัวสื่อโฆษณามีผลอย่างมากกับการคลิกและสนใจโฆษณา แต่เราจะทำยังไงให้คนมาสนใจในสื่อหรือข้อความโฆษณาของเรา เพราะ “โฆษณาในหน้าเว็บไซต์ ลูกค้าจะมีเวลาแค่ 2-
3 วินาทีเท่านั้นที่จะมีโอกาสเห็นโฆษณาของเรา” ดังนั้นในช่วงเวลาอันสั้นนี้ เราจะทำยังไงให้โฆษณาของเราดึงดูดสายตาและทำให้เค้าสนใจในช่วงเวลาอันสั้นและน้อยนิดนี้?
1.การใช้ภาพในการโฆษณา
- การใช้ภาพมาช่วยในสื่อโฆษณา
การใช้ภาพเป็นตัวเล่าเรื่องราว หรือสร้างความน่าสนใจให้กับตัวโฆษณาบางครั้งจะดีกว่าการที่เราจะต้องมาเขียนเล่าว่าสินค้าเราคืออะไรเป็นตัวหนังสือ - การใช้ภาพเคลื่อนไหว
โฆษณาที่มีการใช้ภาพเคลื่อนไหว (Animation) จะมีคนสนใจหรือคลิกมากกว่าโฆษณาที่เป็นภาพนิ่งๆ และภาพเคลื่อนไหวไม่ควรมีช่วงเวลาในการนำเสนอที่ยาวนานจนเกินไป เพราะทำให้ผู้ชมต้องมารอคอยดู (ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่คอยกัน) และบางครั้งการเคลื่อนไหวกระพริบแบบเร็วๆ ก็จะช่วยทำให้โฆษณานั้นดึงสายตาได้ดี แต่อาจจะต้องดูความเหมาะสมด้วยเพราะหากกระพริบเร็วหรือมากเกินไป คนดูอาจจะปวดหัวก็ได้เช่นกันเมื่อเห็นโฆษณานี้นานๆ - การใช้สีสันที่โดดเด่น
สีสันที่โดดเด่นจะช่วยสร้างความน่าสนใจให้กับตัวโฆษณาได้ ดังนั้นควรเลือกสีสันที่โดดเด่นจากข้อมูลหรือเว็บไซต์ที่ไปลงโฆษณา - การใช้เซ็กซ์เข้ามาช่วยก็ได้ผลนะ
ผมไมได้หมายถึงเอาภาพโป๊มาใช้นะครับ แต่บางครั้งการเลือกใช้ภาพที่มีผู้หญิงหรือผู้ชายเซ็กซี่ มาประกอบก็ช่วยสร้างจุดสนใจให้กับตัวโฆษณาได้เล่น
2. การใช้คำพูดหรือโปรยคำที่คนสนใจ
การใช้คำหรือประโยคที่น่าสนใจ พาดหัวหรือแสดงไว้ในโฆษณาเด่นๆ ก็จะมีส่วนช่วยทำให้โฆษณาของคุณดูน่าสนใจได้ในเวลาอันสั้น แต่ต้องระวัง คำที่ใช้ต้อง “สั้น กระชับ เข้าใจได้ง่าย ในเวลาอันสั้น” และมีปัจจัยอื่นเช่น
- การใช้คำที่กระตุ้นความรู้สึก (Call to Action)
ควรใช้คำที่เร้าใจ น่าสนใจ จูงใจ กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกและการกระทำเช่น “คลิกเลย” หรือ “โอกาสสุดท้าย” - คำว่า “ฟรี.!” ก็ยังเป็นคำที่ได้ผล
- ตั้งคำถามกับคนดู
การตั้งคำถามกับคนดู เป็นส่วนช่วยสร้างความน่าสนใจและเกิดความสงสัยหรือบางครั้งก็เจาะเข้าไปที่ปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะทำให้ผู้ดูสนใจและอยากคลิกเข้ามาที่โฆษณาของเรา เ
ช่น “อยากอ้วนอย่างนี้ไปตลอดรึ?” (ขายสินค้าสุขภาพ) หรือ “ทีวีที่บ้านคุณเก่าแล้วรึยัง?” (ขายทีวี) หรือ “สงกานต์นี้มีที่ไปเที่ยวรึยัง?” (ขายแพ็กเกจทัวร์) - อะไรที่ห้ามๆ บางทีก็ได้ผลนะ
คนเราก็แปลกนะครับ ถ้าจะเราจะห้ามทำอะไร คนก็มักจะฝืนและทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เช่น “ห้ามคลิกเด็ดขาด” หรือ “ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ดู” หรือ “คนเมียดุห้ามดู” ลองคิดดูคำเด็ดๆ ดูละกัน วิธีนี้ได้ผลดีนักแล - พูดในสิ่งที่ลูกค้าอยากฟัง ไม่ใช่พูดในสิ่งที่ผู้ขายอยากบอก
ปัญหานี้มักเกิดขึ้นประจำเมื่อผู้ขายอยากเป็นคนบอกว่าสินค้านี้มันดียังนี้อย่างนั้น แต่มันไม่ได้สร้างความน่าสนใจเลย ในมุมมองของผู้ดูโฆษณา เช่น โฆษณาของบริษัทขายทัวร์จะโฆษณายังไงดีระหว่าง “บริษัท ABC ทัวร์ พาเที่ยวทั่วไทย บริการทุกระดับประทับใจ” อ่านแล้วดูแล้วเหมือนผู้ขายของพยายามบอกว่าตัวเองคือใคร แต่คนอ่านจะสนใจเหรอ? ลองมาเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไหม! “วัดหยุดยาวคราวนี้ คุณมีที่ไปเที่ยวรึยัง?” ลองเปรียบเทียบระหว่าง 2 ประโยคนี้ เป็นคุณๆจะคลิกหรือสนใจที่ประโยคไหน? ดังนั้นโฆษณาของคุณอย่างมัวแต่โม้ฝอยว่าคุณดีเลิศประเสริฐศรียังไง มาเข้าอกเข้าใจคนดูโฆษณาของคุณดีกว่าครับ ว่าเค้าอยากเห็นหรือฟังอะไรจากโฆษณาของคุณ (ข้อนี้สำคัญมั่กๆ) - ใช้ศัพท์ที่เข้าใจง่าย หลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิค
ในโฆษณาคุณควรเลือกใช้คำที่เข้าใจง่ายๆ ไม่ใช้ศัพท์เทคนิคมากจนเกินไป หรือคำภาษาอังกฤษ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายของคุณด้วย ว่าเค้าเป็นคนระดับไหน ซึ่งบางครั้งการที่คุณใช้ศัพท์เทคนิคมากเกินไป หรือใช้ภาษาอังกฤษ คนอาจจะไม่เข้าใจว่าคุณกำลังจะบอกอะไรเหมือนกัน เช่น ผมเป็นร้านขายคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก ผมจะโฆษณาแบบไหนดีระหว่าง “Notebook Intel Core2 Duo 1.8 Ram EDO 2Ghz Refresh Rate 120 fps สุดยอดมาใหม่ราคาพิเศษ” โอ้โห้.! มันจะเน้นศัพท์เทคนิคลึกล้ำปานนี้ ลองปรับมาเป็นแบบนี้ดีกว่า “โน๊ตบุ๊ก ชิปอินเทล รุ่นใหม่ล่าสุด เร็วแรง ทำงาน-เล่นเกมส์-เล่นเน็ตกระจุย ขายในราคาที่คุณต้องร้องโอ้วว…” คุณว่าแบบไหนดีกว่ากันละ? - การให้คำมั่นสัญญาก็ได้ผลเช่นกัน
การให้คำมั่นสัญญากับผู้ชม หรือยืนยันการันตี ว่าชัวร์หรือแน่นอน ก็ช่วยสร้างความน่าสนใจให้กับผู้ชมได้ เช่น “สอนพูดภาษาอังกฤษได้ภายใน 7 ชั่วโมง” (โรงเรียนสอนภาษา) หรือ “ส่งฟรี.! ถึงบ้านภายใน 2 ชั่วโมง” หรือ “ซื้อไปแล้วไม่พอใจ ยินดีคืนเงิน” ซึ่งพอเห็นอย่างนี้แล้วผู้ชมก็คงจะสนใจโฆษณาของคุณอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่คุณเองก็ต้องมั่นใจนะครับว่าสามารถทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับลูกค้านะครับ
การวัดผลว่าโฆษณาของคุณได้ผลหรือไม่ ดูอย่างไร?
หลังจากโฆษณาลงไปแล้ว คุณเองก็ต้องคอยดู และติดตามข้อมูลของโฆษณาของคุณในแต่ละวัน ว่ามีอัตราการแสดง (Impression) และอัตราการคลิก (Click Thru) มากน้อยเท่าไร โดยเว็บไซต์หลายๆ แห่งจะมีระบบคอยตรวจสอบและแสดงรายงานว่าโฆษณาของคุณ ที่ลงไปมีการแสดงไปแล้วกี่ครั้ง มีคนคลิกแล้วกี่ครั้ง ซึ่งคุณสามารถขอเว็บไซต์ที่คุณไปลงโฆษณาได้เลย หลังจากได้ข้อมูลเหล่านี้แล้ว คุณก็ลองมาคำนวนง่ายๆ เพื่อหาว่าโฆษณาของคุณได้ผลแค่ไหน โดยการใช้สูตรง่ายๆ คือ
จำนวนคลิกโฆษณาหารด้วยจำนวนการแสดงโฆษณา = อัตราการแสดงต่อการคลิก (Click Thru Rate : CTR)
ซึ่งจะเป็นตัวบอกว่าโฆษณาของคุณได้ผลหรือไม่
ยกตัวอย่างเช่น
โฆษณาของคุณแสดงไป 100 ครั้ง/วัน มีคนคลิกโฆษณา 1 คลิก/วัน ดังนั้น
อัตราส่วนการแสดงต่อการคลิก (CTR) = 1/100 ซึ่งจะเท่ากับ 1%
ภาพแสดงการแสดงโฆษณาและการคลิก (แบบนี้อัตราไ่ม่ค่อยดีเท่าไร)
โดยส่วนใหญ่ถ้าอัตราส่วนการแสดงโฆษณาต่อการคลิก (CTR) แบบทั่วไปจะมีค่าอยู่ที่ประมาณ 0.20% ถ้ามากกว่านี้ ก็จะถือว่าเป็นการโฆษณาที่ได้ผลเลยทีเดียว แต่ถ้าหากโฆษณาของคุณได้อัตรา CTR ที่ต่ำ ผมก็ขอแนะนำให้คุณลองปรับโฆษณาตามคำแนะนำที่ได้แนะไปแล้วในเบื้องต้นอีกที แล้วคอยดูว่าผลเป็นอย่างไรบ้างหลังจากปรับอย่างใกล้ชิด
จากที่แนะนำมาทั้งหมด ผมเชื่อว่าหากคุณทำตามแนวทางที่ผมแนะนำ ไว้โฆษณาสินค้าหรือบริการของคุณผ่านช่องทางออนไลน์น่าจะได้ผล และมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะนำมาซึ่งรายได้จากการขายสินค้าทางออนไลน์ได้มากขึ้น หรือใครมีเทคนิคอะไรที่จะแนะนำ ก็ลองเข้ามาแนะนำกันได้นะครับที่เว็บบอร์ด http://www.pawoot.com และสำหรับท่านที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มลงโฆษณาที่ไหนดี ก็ลองไปเริ่มต้นลงโฆษณาที่เว็บไซต์ http://www.ThaiSecondhand.com และ http://www.TARAD.com ซึ่งเป็นเว็บที่ผมให้บริการอยู่ อุๆ ที่นี้มีคนเข้าเป็นล้านคนต่อเดือนเลยนะครับ น่าจะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจคุณได้ แอบเชียร์เว็บของตัวเองหน่อยคร้าบบบบ แต่ยังไงก็ตาม อ่านจบแล้วก็รีบไปลงมือทำกันเหอะ ลองคิดดูได้แล้วครับ ว่าเราจะปรับโฆษณาของเรายังไงให้มันเด่นๆ ดี ลุ้ยยย.
- ** สำหรับท่านที่สนใจ การทำการตลาดออนไลน์ หรือโปรโมทเว็บไซต์ ผมขอแนะนำ "หนังสือ E-Marketing เจาะเทคนิคการตลาดออนไลน์" เล่มนี้ผมเขียนเองครับ เล่มเดียวรวมทุกอย่างที่คุณ "ต้องรู้" เกี่ยวกับการเริ่มต้นการทำการตลาดออนไลน์ E-Marketing
]]>