<![CDATA[
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า การแข่งขันทางด้านการตลาดในขั้นต้นของสินค้าและบริการหลายประเภทนั้น เริ่มต้นด้วยการสร้าง Brand หรือการทำให้ชื่อสินค้าและบริการของตนให้เป็นที่รู้จักของกลุ่มเป้าหมาย ตามทฤษฎี AIDA ที่เคยพูดไว้ในตอนก่อนๆ (Awareness, Interest, Desire, และ Action) ในธุรกิจการทำเว็บไซต์ก็เช่นเดียวกัน ปัจจัยหนึ่ง และอาจจะเป็นปัจจัยเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดคือการตั้งชื่อเว็บไซต์ และสร้าง Brand หรือชื่อเว็บไซต์นั้นๆ ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มเป้าหมายและกับคนทั่วไป
การสร้าง Brand เมื่อเทียบกับธุรกิจการทำเว็บไซต์ นั้นมีหลายวิธีและรูปแบบ
- การตั้งชื่อเว็บไซต์หรือที่เรียนกันกว่า โดเมนเนม
- การสร้างลักษณะเฉพาะของเว็บไซต์ (Brand Identity) เช่นการออกแบบโลโก้ของเว็บไซต์ และการใช้สโลแกนหรือคำพูดใต้โลโก้
- การทำการ PR และโฆษณาอย่างต่อเนื่อง
และอีกหลากหลายวิธีในการสร้าง Brand ของเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จัก
แต่วันนี้เราจะมาพูดคุยในเรืองของการตั้งชื่อเว็บไซต์หรือโดเมนเนม เพราะชื่อเว็บไซต์ถือเป็นประตูในการที่จะให้คนที่สนใจสามารถเข้าไปยังเว็บไซต์ ดังนั้น ชื่อเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งสำคัญประการแรกที่จะต้องคิดตั้งชื่อให้ดี เพราะชื่อดีก็มีส่วนในการสร้างให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จ การตั้งชื่อเว็บไซต์นั้น มีวิธีการหลายอย่างและไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับชื่อนั้นๆ เข้ากับลักษณะของเว็บ และตรงใจกับกลุ่มเป้าหมายมากน้อยเพียงใด ลองมาดูวิธีการและกฎในการตั้งชื่อเว็บกันครับ
ก่อนที่จะตั้งชื่อเว็บได้นั้น จะต้องทำความเข้าใจกับเว็บของเราเองเสียก่อน ว่าเว็บของเรานั้นเป็นเว็บแบบไหน ให้บริการอะไร ที่สำคัญ จุดเด่นและข้อแตกต่างของเว็บเรากับเว็บอื่นๆ คืออะไร พูดง่ายๆ ก็คือการหา Selling Point หรือจุดขายของเว็บของเราให้ได้ก่อน หลังจากนั้น เราจะต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของเว็บด้วย ว่าพวกเขาเป็นใคร ต้องการอะไร และจะได้อะไรจากเว็บของเรา เพื่อที่จะได้ตั้งชื่อสื่อถึงบริการของเว็บ และตรงตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
กฎของการตั้งชื่อโดเมนเนมคือ
– ถ้ามีบริษัท ชื่อสินค้า หรือบริการ ก็ใช้ชื่อเหล่านั้นตั้งเป็นชื่อเว็บไซต์
หากคุณมีบริษัทชื่อ ABC คุณก็ควรตั้งชื่อ http://www.ABC.com แต่บางครั้งชื่อบริษัทของคุณอาจจะถูกคนอื่นๆ จด .com ไปแล้วคุณอาจจะไปจดเป็น .co.th ก็ได้ ซึ่งเป็นรูปแบบโดเมนเนมที่เป็นรูปแบบของบริษัทของไทย ดูมีความน่าเชื่อถือด้วยเพราะคุณจะจดชื่อ .co.th ได้นั้นชื่อบริษัทของคุณจะต้องมีความสอดคล้องกับชื่อโดเมนเนมที่จะจด .co.th– ต้องสั้น
เช่น เว็บดังๆ ของเมืองไทยสมัยแรกๆ นิยมใช้ชื่อไทยมาสะกดเป็นภาษาอังกฤษ เช่น sanook.com, hunsa.com หรือเว็บน้องใหม่มาแรงอย่าง kapook.com เพราะนอกจากคนจะได้จำได้แล้ว ยังบ่งบอกถึงความเป็นไทยและง่ายต่อการเรียกชื่ออีกด้วย แต่ก็มีบางครั้งที่พูดชื่อเว็บแล้ว คนอื่นก็อาจจะเข้าและสะกดชื่อเว็บไปแบบอื่นๆ ได้เพราะชื่อเว็บที่พูดสามารถสะกดได้หลายแบบ เช่น สบายดอทคอม มีวิธีการสะกดได้หลายแบบ http://www.sabuy.com หรือ http://www.sabye.com ก็ได้ ซึ่งตอนบอกชื่อเว็บก็คงต้องมาคอยบอกกำกับอีกทีว่า B-Y-E หรือ B-U-Y ซึ่งอาจจะสร้างความสับสนให้กับผู้ฟังได้– จำง่าย พูดง่ายและสะกดง่าย
เพราะบางครั้งการเข้าเว็บไซต์ก็มาจากการบอกต่อหรือการได้ฟังจากวิทยุหรือเห็นตามโปสเตอร์ต่างๆ เช่นกัน ดังนั้นหากชื่อโดเมนเนมของคุณ สามารถจดจำได้ง่าย พูดและสะกดง่าย จะทำให้ลูกค้าสามารถเข้ามาที่เว็บไซต์คุณได้อย่างถูกต้อง เพราะการสะกดผิดเพียงคำเดียวหมายถึงการเข้าผิดเว็บเลยทีเดียว– บางครั้งชื่อยาวก็จำง่ายเหมือนกัน
บางครั้งการตั้งชื่อโดเมนยาวๆ ก็สามารถจำได้ง่ายเช่นกันหาก ชื่อที่คุณตั้งเป็นประโยคที่มีความหมายตรงตัว พูดแล้วสามารถเข้าใจและจดจำได้ง่ายเช่น http://www.ThaiSecondhand.com พอคุณพูดกับใครๆ ก็สามารถเข้าใจและสามารถจดจำได้ง่ายเพราะมีความหมายตรงตัว– ชื่อเว็บแส
งลักษณะของบริการของเว็บ
หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายจะได้กลับไปจากเว็บ ยกตัวอย่างเช่น Hotelsthailand.com ซึ่งไม่ต้องบอกก็ทราบได้ทันทีว่าเป็นเว็บที่ให้บริการเกี่ยวกับการให้ข้อมูลโรงแรมในประเทศไทย ThaiSecondhand.com ที่ชื่อก็บ่งบอกว่าเมื่อเข้ามาต้องเจอข้อมูลของของมือสอง หรือ pappayon.com ที่ไม่บอกก็รู้ว่าบริการที่ให้ก็คงจะไม่พ้นเรื่องภาพยนตร์แน่ๆ– เติม S หรือไม่เติม S
บางครั้งเว็บไซต์ที่คุณใช้อาจจะสามารถลงท้าย s หรือไม่มี s ก็ได้ แต่ถ้าให้ดี ก็ควรจดไปทั้งสองแบบ คือแบบมี S และ ไม่มี S เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดของผู้ใช้บริการ เช่น http://www.HotelThailand.com (ไม่มี S) และ http://www.HotelsThailand.com (มี S) หากกดเข้า 2 โดเนมนี้ก็จะเข้าไปที่เดียวกัน (แต่ http://www.HotelsThailand.com สำหรับภาษาไทยและ http://www.HotelThailand.com เป็นภาษาอังกฤษแต่ทั้งสองเว็บก็เป็นของเจ้าของคนเดียวกัน– หลีกเลี่ยงการใช้ – (ขีดกลาง หรือ Hyphen)
เพราะคนส่วนใหญ่เวลาพูดชื่อหรือเข้าเว็บไซต์จะไม่ค่อยใช้ – (ขีดกลาง) ขั่นระหว่างคำตอนพิมพ์ชื่อโดเมนเนม เช่น http://www.one-2-call.com หากคนส่วนใหญ่หากพูดจะพูดกันแค่ http://www.one2call.com ไม่พูด – (ขีดกลาง) กันซึ่งอาจจะทำให้ลูกค้าไม่สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์นั้นได้– การตั้งชื่อแบบไม่มีความหมายเลยก็ได้
เช่น google.com, yahoo.com หรือเว็บประมูลชื่อดัง ebay.com แต่เมื่อ Brand ได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว กลุ่มเป้าหมายก็จะจดจำได้ และสร้างความเกี่ยวเนื่องของ Brand กับบริการของเว็บขึ้นมาได้เอง บางเว็บนึกไม่ออก ถึงกับตั้งชื่อเลียนแบบเว็บดังๆ เลยก็มี เช่น googlo.com เว็บ search engine ที่อาศัยความบังเอิญที่คนอาจจะสะกดผิด แทนที่จะเข้าไป google ก็มาที่นี่แทน (แต่ผมไม่แนะนำวิธีนี้นะครับ)– การใช้ชื่อแคมเปญหรือคำ วลีที่เกี่ยวข้องหรือดึงดูดมาตั้ง
การตั้งชื่อโดนเมนลักษณะนี้ กำลังได้รับความนิยมในช่วงปี 2005 โดยแบรนด์สินค้าหลายๆ อัน มักจะทำเว็บไซต์ที่เป็นแคมเปญใหม่ขึ้นมา เช่น แชมพู คลีนิก เปิดเว็บใช้ชื่อ www.ClearOilyHead.com, Chevron ตั้งชื่อเว็บไซต์ใหม่ http://www.WillYouJoinUs.com/ เพื่ออธิบายเกี่ยวกับเรื่องการใช้พลังงาน
ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการตั้งชื่อเว็บไซต์หรือโดเมนเนมที่จะช่วยทำให้ผู้คนทั่วไปสามารถ รับและเข้าใจในชื่อชองเว็บไซต์คุณได้ ซึ่งหากชื่อจำง่าย ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วละครับ คราวหน้าผมจะมาพูดถึงการสร้างเอกลักษณะของเว็บไซต์ (Brand Identity) เพื่อทำให้ลูกค้าสามารถจดจำเว็บไซต์คุณได้ดีมากายิ่งขึ้น
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.pawoot.com
** บทความทั้งหมดนี้ มีลิขสิทธ์ของ นาย ภาวุธ พงษ์วทยภานุ นะครับ หากสนใจรายละเอียด สามารถดูได้ในหนังสือ "E-Commerce สุดยอดช่องทางรวย ทุนน้อย ทำง่าย สร้างรายได้ 24 ชั่วโมง"
โดย Pawoot P. 1/02/04
บทความนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ หากต้องการนำไปใช้ที่อื่นๆ แจ้งนิดนึงนะครับที่ pawoot@tarad.com
]]>
การสร้างแบรนด์เป็นเรื่องอันดับต้นๆที่ต้องเอาใจใส่ แต่คนส่วนใหญ่จะมองข้าม
ถูกใจถูกใจ
สนใจเรื่องเว็บมานานแล้วแต่ไม่รู้มากเท่าที่ผมได้อ่านทบความของคุณ ภาวุธ ขอบคุณผมที่ได้เสริมความรู้…ครับขอบคุณ.
ถูกใจถูกใจ
แอดเฟสบุ๊คมาคุยกันครับ เข้าเฟส แล้วให้พิมช่องค้นหาว่า “ลอตเตอรี่ ออนไลน์”.
ถูกใจถูกใจ
ดีใจค่ะที่มีคนเก่งๆ เป็นคนบ้านเดียวกัน
ถูกใจถูกใจ
ดีใจค่ะที่มีคนเก่งๆ เป็นคนบ้านเดียวกัน
ถูกใจถูกใจ