<![CDATA[

ถ้าจะถามคุณว่า? คุณจะมีวิธีการอะไรที่สามารถติดต่อสื่อสารกับลูกค้าของคุณ ที่เคยซื้อสินค้า หรือเคยใช้บริการของคุณได้อย่างง่ายและสะดวก ประหยัด?… ถ้าให้นักการตลาดรุ่นเก๋า เก่ากึ๊ก คงจะนึกถือ การทำ Direct Mail หรือจดหมายส่งตรงหาลูกค้า, การโทรหาลูกค้า Tele-Sale หรือถึงขั้นอาจจะแวะเข้าไปเยี่ยมเยียนลูกค้าเลยทีเดยว แต่หากยุคนี้ ยุคอินเทอร์เน็ตหรือเทคโนโลยีไอทีมาจ่ออยู่ปลายนิ้วซะขนาดนี้ ใยเลยจะหันกลับไปใช้วิธีเก่าๆ แบบนั้นอยู่ทำไม ในเมื่อมันมีต้นทุนที่สูงกว่า วัดผลก็ลำบาก ใช้เวลาในการจัดการนานมาก เราลองหันมาใช้วิธีอื่นๆ ที่เดิ้ลและเทห์ กันดีกว่าครับ

 หากลูกค้าของคุณเป็นกลุ่มที่เป็นนักเรียน หรือวัยทำงาน ที่ทำงานในกรุงเทพหรือหัวเมืองใหญ่ การติดต่อสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มนี้ทาง E-Mail ดูจะเป็นช่องทางที่น่าสนไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะคนในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมีการใช้คอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตทั้งในที่ทำงานหรือที่บ้าน ซึ่งการสื่อสารผ่าน E-Mail หรือการใช้ E-Mail Marketing ดูจะเป็นแนวทางที่น่าใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเป็นช่องทางและเป็นวิธีที่ ประหยัดค่าใช้จ่าย, รวดเร็วแม่นยำ, ตรงกลุ่มเป้าหมาย และยัง สามารถวัดผลได้อีกด้วย ฟังดูแค่นี้ หลายๆ คนก็เริ่มสนใจที่อยากจะเริ่มต้นทำ E-Mail Marketing กันแล้วใช่ไหมครับ? งั้นเรามาดูและเริ่มต้นทำ E-Mail Marketing กันครับ



3 ขั้นตอนง่ายๆ ในการเริ่มต้น E-Mail Marketing

1. การหาและเก็บข้อมูล E-Mail ของลูกค้า
 การหาหรือได้มาซึ่งข้อมูล E-mail ลูกค้ามีอยู่ 2 วิธีหลักๆ ด้วยกัน

 1.1. สร้างและเก็บ E-Mail ลูกค้าเอาเอง
        โดยวิธีนี้คุณต้องเริ่มเก็บและสะสมข้อมูล E-Mail ของลูกค้า ในทุกๆ ครั้งที่คุณมีโอกาสได้พบปะ หรือเจอลูกค้า คุณควรจะมีการเก็บและขอ E-mail ลูกค้า โดยในปัจจุบันหลายคนอาจจะขอแค่ เพียงแค่ เบอร์โทรศัพท์ แต่ไม่เคยขออีเมล์ลูกค้าเลย

 1.2 หากคุณไม่มีข้อมูลเลย ลองวิธีเช่า (ซื้อ) ฐานข้อมูลลูกค้า หรือให้คนอื่นส่งข้อมูลให้ 
        ซึ่งบริการนี้จะเป็นบริการที่หลายๆ เว็บไซต์ หรือบางธุรกิจอาจจะเปิดโอกาสให้คุณสามารถ ส่งข้อมูลข่าวสารของคุณผ่าน ฐานลูกค้าของเค้าได้ โดยบางแห่งเจ้าของข้อมูลอาจจะเป็นผู้ส่งข้อมูลให้ ไม่ยอมขายข้อมูลลูกค้าให้คุณไปส่งเอง เพราะอาจจะติด ข้อตกลงกับลูกค้าในการรักษาข้อมูล (Privacy Policy) หรือบางแห่งอาจจะขายข้อมูลลูกค้าออกมาเลย และคุณสามารถส่งได้เอง แต่ต้องระวังให้ดีนะครับ วิธีการไปซื้อข้อมูล E-Mail มาแล้วมาส่งข้อมูลออกไปหาลูกค้าทีละเยอะๆ โดยที่ผู้รับนั้นไม่ได้มี "เจตุจำนงค์จะรับข้อมูลจากคุณ" อันนี้ถือว่า "ไม่เป็น E-Mail Marketing" นะครับ แต่จะถือว่าเป็น สแปม (SPAM) ดังนั้นต้องระวังให้ดี ซึ่งต้องบอก่อนว่าตอนนี้ ประเทศไทยมี พ.ร.บ. ว?าด?วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร? พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่บอกไว้ในมาตรา 11 ว่า "ผู?ใดส?งข?อมูลคอมพิวเตอร?หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส?แก?บุคคลอื่นโดยปกป?ด หรือปลอมแปลงแหล?งที่มาของการส?งข?อมูลดังกล?าว อันเป?นการรบกวนการใช?ระบบคอมพิวเตอร?ของ บุคคลอื่นโดยปกติสุข ต?องระวางโทษปรับไม?เกินหนึ่งแสนบาท" ดังนั้นการส่งมั่วหรือส่งสแปมอาจจะเสี่ยงต่อการผิดกฏหมายได้" น่ากลัวไหมละ ต้องระวังให้ดี

2. การเตรียมเครื่องมือในการส่ง E-Mail หาลูกค้า

            หลังจากที่ได้ข้อมูล E-Mail ของลูกค้ามาแล้ว คุณก็จะเป็นต้องมีเครื่องมือในการส่ง E-Mail หาลูกค้า โดยหากรายชื่อ E-Mail ของลูกค้าของคุณมีจำนวนไม่มากเช่น 10-30 รายชื่อ คุณอาจจะใช้วิธีการส่งผ่านวิธีการปกติที่คุณใช้เช่น ส่งผ่าน hotmail.com หรือ Gmail.com แต่ถ้าคุณมีรายชื่อ E-Mail จำนวนมากๆ คุณอาจจะต้องจำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรือ Software ที่ช่วยในการส่ง E-mail เช่น ซอฟต์แวร์ของ www.PHPlist.com ที่เป็นซอฟต์แวร์ฟรี ระบบเปิด (Opensource) ที่คุณสามารถไปดาว์นโหลดมาติดตั้งที่เว็บไซต์ของคุณแล้วใช้งานได้ หรือ Aconia Rocket Mail (www.anconia.com) ที่สามารถติดตั้งไว้ที่เครื่องของคุณแล้วส่งหาลูกค้าได้เลย แต่มีข้อควรระวัง การส่ง E-Mail ทีละเป็นจำนวนมาก ขึ้นหลักหมื่นหลักแสนรายชื่ออาจจะส่งได้ยากลำบาก เพราะในการส่งแต่ละครั้งหากส่งจำนวนมากๆ จะเป็นการทำให้การทำงานของระบบอีเมล์ที่คุณใช้งานอยู่ ทำงานหนัก และอาจจะมีปัญหาได้ ดังนั้นควรทยอยค่อยๆ ส่งออกไปทีละไม่มาก จึงจะสามารถส่งออกได้

3. การวัดและการประเมินผล

        ในซอฟต์แวร์ส่ง E-Mail บางตัวจะมีเครื่องมือที่ช่วยวัดว่า E-Mail ที่คุณส่งไปนั้น ส่งไปได้กี่ฉบับ และมีคนเปิด E-Mail ของคุณกี่คน (Open Rate) ซึ่งวิธีนี้จะช่วยวัดผลว่าแคมเปญหรือ E-Mail ที่คุณส่งไปสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากน้อยแค่ไหน Open rate (อัตราการเปิด email ) เป็นตัววัดว่า email ที่เราส่งไปนั้นมีผู้คลิ๊กอ่านกี่เปอร์เซ็นต์ หากเขียนเป็นสมการได้ดังนี้


Open Rate (อัตราการเปิด email) = ( จำนวน email ที่ได้รับการคลิ๊กในครั้งแรก / จำนวน email ที่เราส่งออกไป  ) x 100 

ตัวอย่าง – บริษัท ก. ส่ง email แนะนำสินค้าไปยังสมาชิก mailing list จำนวน 1,000 ฉบับ มีจำนวนสมาชิกที่คลิ๊กเปิด email จำนวน 2,575 ฉบับ เพราะฉะนั้น Open Rate ของ email แนะนำสินค้าจะเท่ากับ (450/1000) x 100 = 45 %

จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่า E-Mail ที่บริษัท ก. ส่งไปโดยเฉลี่ย 100 ฉบับ(100 email address) ถูกคลิ๊กเปิด 45 ฉบับ สำหรับ open rate ที่ควรจะเป็นนั้นอาจไม่สามารถบอกได้แน่นอนว่าเป็นเท่าใด ขึ้นอยู่กับว่า e-mail นั้นมีรูปแบบอย่างไร น่าสนใจแค่ไหน แต่สิ่งที่บอกได้คือถ้า open rate อยู่ในอัตราสูงแสดงว่า email นั้นเป็นที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มเป้าหมาย

            ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการทำ E-Mail Marketing ที่จะช่วยสร้างหรือเชื่อมโยงการสื่อสารระหว่างคุณและลูกค้าของคุณเข้าไว้ด้วยกันให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ผ่านเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ซึ่งทำได้ไม่ยากเลยในปัจจุบัน แต่หลายๆ ธุรกิจก็ยังไม่ได้ทำกัน ดังนั้นเมื่ออ่านจบแล้ว ก็ลองมานั่งนึกดูว่า บริษัทหรือองค์กรของเรา ได้เริ่มใช้วิธีนี้ในการติดต่อกับลูกค้าของคุณแล้วรึยัง? แต่ต้องระวังด้วยนะครับ ต้องแน่ใจว่าลูกค้าของคุณ "ยินยอมให้คุณส่ง E-Mail" หาเค้านะครับ เพราะหากปราศจากความยินยอม E-Mail ที่คุณส่งไป ก็จะกลายเป็นจดหมายขยะที่คุณเองได้อยู่เป็นประจำอยู่แล้วทุกๆ วันนั้นเอง…. ใช้ให้ถูกทางกันนะครับ.. ผมขอฝากไว้

สำหรับท่านที่สนใจใช้ โปรแกรม บริหารและส่ง E-mail Marketing ลองใช้ของ Aweber.com ก็ได้ครับ เป็นตัวที่ผมใช้อยู่และค่อนข้าง OK เลย

]]>