การส่งออกออนไลน์ในเมืองไทยนั้นถือว่ายังมีไม่มาก ในวงการ e-Commerce การส่งออกแบบ cross-border หรือการขายข้ามระหว่างประเทศถือว่าเป็นจุดสูงสุด เพราะส่วนใหญ่เราจะขายกันแบบ domestic มากกว่าซึ่งจะได้ราคาไม่ดีเท่าใดนัก แต่หากเป็น cross-border จะทำให้ได้ราคาที่ดีมากกว่า แต่ส่วนใหญ่ยังคงติดปัญหาในเรื่องของภาษาและช่องทางที่จะส่งออกไปยังต่างประเทศ
ก่อนที่จะส่งออกไปต่างประเทศจำเป็นต้องมีความเข้าใจในสินค้าของตนให้ดีเสียก่อน แล้วจึงค่อยๆ ขยายออกไปยังต่างประเทศ เพราะการส่งออกไปต่างประเทศนั้นจะมีเรื่องของขั้นตอนต่างๆ มีกฎระเบียบ วิธีการต่างๆ ที่ซับซ้อนกว่า ทำให้ผู้ประกอบการไทยน้อยคนที่จะทำการค้าแบบนี้ มาดูว่าเราต้องเตรียมพร้อมรับมือในเรื่องใดบ้าง
สินค้าประเภทไหนที่นิยมส่งออก
ประเทศไทยเราสามารถส่งออกได้เกือบทุกอย่าง แต่ต้องรู้เสียก่อนว่าจะส่งไปที่ไหนซึ่งแต่ละที่จะมีดีมานด์ที่แตกต่างกัน ไทยเรามีสินค้าที่ส่งออกหลักๆ ก็เป็นกลุ่มอาหาร มีเสื้อผ้า วิธีการเข้าไปสมัยก่อนเราจะไปเทรดโชว์ตามงานเอ็กซ์โป ไปขายตรงหรืออาจหาตัวแทนในประเทศนั้นๆ ซึ่งมักต้องใช้เวลามาก แต่การส่งออกในรูปแบบใหม่มันเปลี่ยนไป แทนที่จะต้องเดินทางไปเองก็เริ่มมีช่องทางออนไลน์เข้าไปค้าขายได้ เช่น มีเว็บที่เป็นมาร์เก็ตเพลส หากเรามีสินค้าก็สามารถนำสินค้าไปวางประกาศขายได้ และส่วนใหญ่มักเป็นในรูปแบบ B2B
ในแต่ละประเทศจะมีมาร์เก็ตเพลสของตัวเอง ซึ่งจะแบ่งออกเป็นหลายเทียร์ เทียร์แรกคือแบบ country base เช่น เราอยากจะไปขายที่อินเดียก็จะมี India Mart เป็นมาร์เก็ตเพลสที่รวมบริษัทต่างๆ ของอินเดียเอาไว้ เราสามารถที่จะเอาสินค้าหรือบริการไปลิสต์ไว้หรือเอาไปเปิดขายได้
หรือที่จีนก็มี Alibaba หรือ Global Sources ที่เป็นมาร์เก็ตเพลสระดับโลก แบบที่สองก็คือมาร์เก็ตเพลสที่เป็น vertical base หรือ Industry base มาร์เก็ตเพลสที่รวมบรรดาคนที่ขายเฉพาะอาหาร เนื้อสัตว์ สินค้าเกษตร หรือที่เป็นสินค้าโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งตอนนี้จะมี vertical marketplace แบบ B2B ที่เจ้าของสามารถเข้าไปลิสต์เองได้ ยิ่งเปิดตัวเองด้วยการเอาตัวเองไปไว้ในมาร์เก็ตเพลสเหล่านี้ได้มากเท่าไหรเท่ากับได้เปิดสาขาเพิ่มโอกาสเข้าถึงกลุ่มคนได้มากขึ้นเท่านั้น
สิ่งแรกที่หากคิดจะเริ่มต้นทำก็คือควรที่จะมีคนที่รับผิดชอบในเรื่องนี้โดยตรง เป็นเหมือน virtual sales ที่สามารถจะเปิดร้านค้าได้เองทั่วโลก และมีแคตตาล็อกที่สามารถทำให้คนสนใจ ต้องทำแคตตาล็อกให้ดูน่าสนใจและดึงดูดคนได้จริงๆ คอนเทนต์ทางธุรกิจต้องให้ความสำคัญมากในเรื่องของความน่าเชื่อถือ เช่น เราเป็นใคร เปิดนานเท่าใด ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานใดบ้าง รายละเอียดสินค้าต้องใส่ให้ครบ ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้สามารถที่จะนำไปโพสต์ไว้ในแหล่งอื่นๆ ได้ด้วย
เมื่อมีช่องทางแล้วก็ต้องกลับมาที่การทำ marketing ว่าจะทำอย่างไรถึงจะดึงคนเข้ามาซื้อสินค้าของเรา สิ่งสำคัญคือหากมีกลยุทธ์แล้วแต่คุณได้ทำมันหรือยัง สิ่งที่ควรคำนึงถึงอย่างยิ่งก็คือ หนึ่งควรที่จะมีคนที่มาดูแลเรื่องของ online trading จริงๆ สองควรที่จะมีการกำหนด KPI อย่างชัดเจน ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ตลาดจีนที่เคยพูดว่าจะเป็นโรงงานของโลกภายในปี 2025
ทุกวันนี้จีนเองก็เรียกว่าเป็นโรงงานของโลกไปแล้ว ไม่ใช่แต่เพียงเป็นโรงงานอย่างเดียวจีนยังได้สร้าง Infrastructure ที่เชื่อม factory ทำให้ดีมานด์และซัพพลายเชื่อมเข้าด้วยกันด้วยโครงการ one belt one road เป็นเส้นทางสายไหมที่จะเชื่อมจากจีนไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นอภิมหาโปรเจ็กต์ เส้นทางสายไหมนี้ได้รับความสนใจมากเช่นกัน และตอนนี้อาเซียนเองคือตลาดใหญ่ที่กำลังเป็นเป้าของหลายๆ ประเทศทั่วโลกที่กำลังต้องการเอาสินค้าเข้ามาขาย
ขณะเดียวกันก็มีคำถามกลับว่าคนในอาเซียนเองพร้อมที่จะออกไปข้างนอกแล้วหรือไม่ อาจมีความพร้อมแค่ในบางอุตสาหกรรม หรือมีความพร้อมในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่ไม่มีความพร้อมในอุตสาหกรรมขนาดกลางหรือขนาดเล็ก อย่าง SMEs ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่น่าเป็นห่วงมาก
ตลาดในระดับอาเซียนมีความพิเศษคือมีความหลากหลาย ความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นภาษา วัฒนธรรม ซึ่งกำลังค่อยๆ หลอมรวมเข้าด้วยมา แต่ที่เริ่มมองเห็นชัดเจนแล้วก็คือในเรื่องของ Infrastructure เช่น เรื่องของรถไฟฟ้าความเร็วสูง หรือโลคอสแอร์ไลน์สที่บินเชื่อมอาเซียนเข้าด้วยกัน ฯลฯ Infrastructure กำลังหล่อหลวมรวมอาเซียนเข้าด้วยกัน เมื่อทุกอย่างที่วางไว้เรียบร้อยแล้ว โอกาสก็จะเป็นของคนที่ปรับตัวได้เร็ว อาเซียนของเราก็อาจจะเป็นโรงงานได้เช่นเดียวกัน
แต่ตอนนี้สิ่งที่น่ากลัวก็คือจีนกำลังบุกทั่วโลกเลยทีเดียวโดยใช้นโยบายออนไลน์เป็นกลยุทธ์ในการนำสินค้าจีนส่งออกนอกประเทศ จีนมีนโยบายหนึ่งที่สำคัญคือการ Subsidies เรื่องค่าขนส่ง หากสั่งซื้อสินค้าจากจีนหลายๆ ชิ้นหรือจากหลายๆ เว็บไซต์จะไม่มีค่าขนส่ง เพื่อกระตุ้นให้โรงงานหรือผู้ผลิตในจีนส่งสินค้าออกนอกประเทศ สิ่งนี้จะส่งผลดีแก่ผู้บริโภคแต่เป็นผลร้ายกับอุตสาหกรรมต่างๆ ในภูมิภาค
มองในแง่ของโปรดักส์ ไทยมีอะไรได้เปรียบสินค้าจีนหรือไม่
ต้องแบ่งเป็นหมวดสินค้า ในกลุ่มอาหารเรายังได้เปรียบอยู่เพราะจีนอาจยังไม่ค่อยได้รับความน่าเชื่อถือเท่าใด แต่ถ้าเป็นสินค้าประเภทอุปโภค เช่น เสื้อผ้า ซึ่งจีนมีความได้เปรียบมากในหลายๆ ด้าน ฉะนั้นต้องดูว่าเราอยู่ในอุตสาหกรรมไหน และจะแข่งขันกับจีนอย่างไร หรืออาจจะเลือกไปเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับจีน
ซึ่งตอนนี้ในจีนเองมีนวัตกรรมเกิดขึ้นมากมายบางคนจึงเลือกใช้จีนเป็นฐานการผลิต บางทีเราจึงไม่ควรมองแค่เราเป็นประเทศไทย แต่อาจจะมองว่าเราเป็นอาเซียน ซึ่งก็จะมีสิทธิพิเศษบางอย่าง เช่น มี FTA มีการเปิดเสรีทางการค้าระหว่างอาเซียน จะทำให้เราสามารถดึงประโยชน์หรือข้อได้เปรียบที่มีในแต่ละประเทศนำมาวางเป็นกลยุทธ์ที่อาจทำให้เราทำธุรกิจมีความได้เปรียบมากขึ้น
ตอนนี้ควรต้องเปลี่ยนวิธีคิดในการทำธุรกิจว่าบางประเทศอาจมีข้อได้เปรียบอะไรมากกว่า แล้วใช้ความได้เปรียบนั้นเพื่อธุรกิจเรา อาศัยความร่วมมือกับทุกธุรกิจในอาเซียนด้วยเช่นกัน ซึ่งโลคอลพาร์ทเนอร์ก็มีความสำคัญมากเช่นกัน เพราะจะช่วยทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
หากต้องการเริ่มส่งออกออนไลน์ควรเริ่มต้นอย่างไร
สำหรับคนไทยอาจเริ่มต้นที่ Thaitrade.com ซึ่งถือว่าเป็น B2B มาร์เก็ตเพลสที่ทำได้ดีและสามารถยืนหยัดอยู่ได้ และเวลาที่ต่างชาติจะเข้ามาติดต่อธุรกิจในไทยก็ดูใน Thaitrade.com เช่นกัน หรือวิธีที่จะหา marketplace ง่ายๆ คือในระดับ country base อยากไปประเทศไหนก็ให้ค้นด้วยชื่อประเทศแล้วต่อด้วย B2B marketplace ก็จะเจอมาร์เก็ตเพลสที่เป็น B2B ทั้งหมด ส่วนใหญ่มักจะให้เราสร้างแคตตาล็อกได้ฟรี
หรืออีกแบบก็คือ vertical ก็ให้เอาชื่ออุตสาหกรรมแล้วต่อด้วย B2B marketplace ก็จะเจอในสิ่งที่ต้องการค้นหา ซึ่งข้อดีของ vertical ก็คือจะเจอลูกค้าที่เป็น niche market หรือเป็นอุตสาหกรรที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ นอกจากการที่เราจะไปลิสต์แล้ว ยังสามารถที่จะเรียนรู้จากคู่แข่งหรือคนที่ทำธุรกิจคล้ายๆ กันในสเกลระดับโลกด้วยเพื่อนำกลับมาพัฒนาสินค้าของเรา
สำหรับคนที่เป็นพ่อค้าคนกลางนั้นตอนนี้ยิ่งต้องรีบปรับตัวหากธุรกิจเป็นการนำเข้าสินค้าจากจีน เพราะตอนนี้จีนเริ่มเอาสินค้าเข้ามาเอง ต่อไปผู้บริโภคทั่วโลกจะเปลี่ยนเทรนด์ไปซื้อสินค้าจากโรงงานโดยตรงผ่านช่องทางออนไลน์ ผ่านมาร์เก็ตเพลส ผ่านเว็บไซต์ของตัวเอง
ผู้ประกอบการต้องเตรียมรับมืออย่างไร
ในเชิงผู้ผลิตที่จะส่งออก
1. ต้องดูว่าสินค้ามีแบรนด์หรือไม่ ต้องสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก เพราะแบรนด์จะเป็นตัวกำหนดแวลูของสินค้า
2. ต้องเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในแง่กระบวนการผลิต เพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้กับธุรกิจ นั่นหมายถึงกำไรและต้นทุนที่จะลดต่ำลง ทำให้การแข่งขันได้ดีมากขึ้นเช่นกัน
3. ต้องเริ่มใช้ช่องทางออนไลน์อย่างจริงจัง ขายผ่านออนไลน์อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น และมีทีมที่โฟกัสอย่างจริงจัง
4. เจ้าของกิจการต้องมีความรู้เรื่องออนไลน์อย่างจริงจัง ทั้งหมดนี้จะทำให้สามารถปรับองค์กรเข้าสู่ออนไลน์ได้ สินค้าจะมีแวลูสามารถแข่งกับต่างประเทศได้
5. ต้องออกขายไปต่างประเทศด้วย
และที่จะเสริมคือต้องเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม หาสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ หาความรู้ใหม่ๆ เพื่อจะได้มีมุมมองใหม่ๆ ในการทำธุรกิจต่อไป