โดยส่วนตัวผมค่อนข้างตื่นเต้น เพราะเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของเฟซบุ๊กที่จะพาคนก้าวไปสู่โลกใหม่ เพราะพูดง่าย ๆ Metaverse คือ Interface แบบใหม่ เมื่อก่อนเราเคยใช้ตาดู ใช้มือสัมผัสกดปุ่มต่าง ๆ แต่สำหรับ Metaverse คือสัมผัสใหม่ทั้งหมด เรากำลังจะเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่งนั่นเอง

เฟซบุ๊กกำลังสร้างโลกใหม่ขึ้นมาทั้งใบโดยเฟซบุ๊กเป็นเจ้าของโลกนั้น สร้างโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของโลกเอาไว้และเปิดโอกาสให้นักพัฒนาต่าง ๆ เข้าไปต่อเติม ไปสร้างแอปพลิเคชัน หรือบริการต่าง ๆ บนโลกใบนั้น แล้วปล่อยให้คนเข้าไปใช้บริการต่าง ๆ ในโลกใบนั้นได้เลย 

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการค้า การออกกำลังการ การเล่นเกม ฯลฯ ทุกอย่างจะเป็นอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเท่าที่ดูจะเห็นว่าเขามีข้อมูลหลาย ๆ อย่าง ค่อนข้างจะเตรียมอะไรหลายอย่างไว้น่าสนใจมากเลยทีเดียว นี่คือโลกใหม่ที่ถ้าเป็นคนอื่นทำก็คงมีคำถามหรือข้อสงสัย แต่พอเป็นเฟซบุ๊กทำถือว่าเขามีโอกาสมากเลยทีเดียวที่จะพาคนทั้งโลกเข้าสู่โลกใหม่ได้จริง

Metaverse ประกอบไปด้วยเทคโนโลยีหลายอย่างซึ่งส่วนใหญ่มีคำว่า “โลกเสมือน” หนึ่ง ก็คือ Virtual Reality หรือ VR เหมือนการที่เราใส่แว่นตาแล้วเข้าไปอีกโลกหนึ่ง ทุกอย่างที่ตาเราเห็นเหมือนกับโลกใหม่อีกโลกหนึ่ง 

สอง มันจะผสมกับอีกอย่างหนึ่งคือ Augmented Reality หรือ AR คือการผสมผสานกับโลกเดิม เหมือนเราเอามือถือไปส่องจะเจอบางอย่างลอยอยู่ คือการผสมผสานโลกแห่งความเป็นจริงกับโลกเสมือนผสานอยู่ด้วยกัน หรือบางคนเรียกว่าเป็น Mix Reality 

จริง ๆ การทำบริการลักษณะนี้ไม่ใช่เป็นครั้งแรก ทางฝั่ง Google เองก็ทำออกมาแล้วคือ มีบริการที่เป็น โลก 3 มิติ หากเราเข้าไปใน YouTube แล้วมีแว่นตา 3 มิติที่เรียกว่า Google Cardboard เป็นแว่นตาที่เป็นเหมือนกล่องกระดาษ เราสามารถที่จะดูวิดีโอที่เป็น 360 องศาได้ หรือลองเข้าไปเสิร์ชว่า 360 ใน YouTube จะมีวิดีโอที่รองรับการทำลักษณะ VR อยู่มากแล้วทีเดียว

ในขณะเดียวกันโลกของ AR ทาง Microsoft เองก็มีผลิตภัณฑ์อีกตัวหนึ่งขึ้นมาชื่อว่า Microsoft HoloLens ซึ่งเมื่อเราใส่แล้วเราจะสามารถเห็นอีกโลกหนึ่งที่ทะลุผ่านหน้าจอของ HoloLens ออกไป แต่ยังมีภาพโลกของความเป็นจริงอยู่ เช่น เราอาจจะยังมองเห็นโต๊ะกินข้าว แต่จะมีอุปกรณ์ต่าง ๆ ลอยขึ้นมาบนโต๊ะกินข้าวด้วย

ฉะนั้น ในโลกของ Virtual Reality จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ หลาย ๆ บริษัทเทคโนโลยีทำกันมานานแล้ว แต่ยังอยู่เฉพาะในวงแคบ ๆ เพราะว่ามีข้อจำกัดในเรื่องของอุปกรณ์ อย่าง HTC ทำแว่นตาในลักษณะ Virtual Reality ออกมาหลายปีแล้ว แต่ราคาหลายหมื่นบาท ผมว่าจุดอ่อนของเทคโนโลยีที่เป็น Virtual Reality หรือ Metaverse ก็ตามจะเป็นเรื่องของราคาของกล้องของแว่นตาที่จะสวมเข้าไป 

เมื่อเฟซบุ๊กลงทุนขนาดเปลี่ยนชื่อบริษัท และเอาผลิตภัณฑ์ทุกอย่างของตัวเองกระโดดเข้าไปสู่โลกเสมือน ผมเชื่อว่าเฟซบุ๊กจะสามารถเชื้อเชิญผู้ผลิตสินค้าหลาย ๆ ตัวให้กระโดดเข้ามาร่วมอยู่ในโลกที่เฟซบุ๊กกำลังสร้างได้ ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าต่าง ๆ จะถูกลง 

ปัญหาของแว่นตาแบบ VR อีกอย่างหนึ่งคือยังมีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีน้ำหนัก เทอะทะ ใส่นาน ๆ ไม่ได้ แต่เท่าที่ดูจากเดโมที่มีให้ดู ผมเชื่อว่าเทคโนโลยีต่อไปจะทำให้แว่นตาพวกนี้เป็นแบบแว่นตาปกติแล้ว และผมนึกไปถึงเทคโนโลยีต่อไปที่จะไม่ใช่แค่แว่นตาแล้ว แต่จะกลายเป็นคอนแทกเลนส์ 

ผมดูหนังไซไฟหลายเรื่องที่พูดถึงว่าต่อไปอนาคตคนเราจะใส่เป็นคอนแทกเลนส์ แล้วจะเป็นแบบมีทุกอย่างอยู่บนหน้าจอคอนแทกเลนส์นั้น เช่น เรากำลังขับรถอยู่แล้วมี Google Map ขึ้นมาบนหน้าจอคอนแทกเลนส์หรือบนตาเราได้เลย ตอนนี้ Google เองก็เริ่มมีการค้นคว้าตัวคอนแทกเลนส์ที่มีหน้าจอเป็นลักษณะนี้อยู่

เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกแล้ว ผมเชื่อว่ามันคือการต่อยอดของเทคโนโลยีของเฟซบุ๊กที่มีอยู่ แต่เป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปเลย อย่าง Instagram, WhatsApp เป็นการใช้ประสบการณ์บนโทรศัพท์มือถือ แต่ตัว Oculus เป็นบริษัทที่ทำเรื่อง Virtual Reality ที่เฟซบุ๊กซื้อมานานมากแล้ว และตอนนี้กลายเป็นเป้าหมายหลักของบริษัทถึงขนาดเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Virtual Reality เลย มันคือความเอาจริงเอาจังของเขา

ในอนาคตถ้าเขาทำ take off ได้ ก็มีโอกาสที่พวกเราจะได้สัมผัสกับเทคโนโลยี Metaverse เร็ว ๆ นี้ หรือใครที่เคยได้ดูหนังเรื่อง Ready Player One นั่นคือ Metaverse ล้วน ๆ เลยครับ ดูแล้วคุณจะเข้าใจวิสัยทัศน์ของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ลองไปดูแล้วคุณจะพบว่ามันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามาก และสามารถเกิดขึ้นได้จริง