ชีวิตทุกวันนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทุกอย่างถูกดิสรัปต์ไปเกือบหมด ทุกอย่างไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่เมื่อมีการดิสรัปต์เกิดขึ้นทุกคนก็ย่อมต้องเกิดความกังวลใจครับ 

ผมเพิ่งได้เรียนหลักสูตรหนึ่งพูดถึงเรื่องของการปรับเปลี่ยนต่าง ๆ ของธุรกิจในยุคปัจจุบัน ซึ่งผมเองก็ได้ลองวิเคราะห์ออกมาดูว่าตอนนี้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการที่มีสตาร์อัพขึ้นมา มีฟินเทค มีอีคอมเมิร์ซเข้ามา ฯลฯ ตรงนี้เองได้ปลุกกระแสให้องค์กรเก่า ๆ ที่อยู่กันมา 30-40 ปีเริ่มเกิดความกลัวกับการเปลี่ยนแปลง เกิดพารานอยด์ขึ้น ฉะนั้น องค์กรเหล่านี้จึงได้มีการปรับเปลี่ยนหรือปรับตัวกัน ที่เห็นได้ชัดมาก ๆ คือกลุ่มธนาคาร 

ธนาคารที่เห็นได้ชัด ก็เช่น SCB และ KBank เป็นสองธนาคารที่มีการดิสรัปต์ตัวเองปรับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ด้วยความกลัวกระแสของสตาร์ทอัพพวกฟินเทคที่จะเข้ามาแย่งตลาด กล้าตัดสินใจ กล้าเฉือนเนื้อตัวเองจากเมื่อก่อนจะมีกำไรจากการโอนเงินระหว่างธนาคารค่า fee ต่าง ๆ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทันที การตื่นกลัวหรือความระแวงของยักษ์ใหญ่นำมาซึ่งนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น 

และที่เห็นได้ชัดเจนมากอีกตัวอย่างหนึ่งคือความตื่นกลัวของเจ้าสัว การที่เซเว่นอีเลฟเว่นมีการปรับตัวเพราะพวกฟู้ดดิลิเวอรี่จะเข้ามากินมาร์เก็ตแชร์ คนจะอยู่บ้านมากขึ้นไม่ออกข้างนอก และสั่งอาหารผ่านพวกนี้ แอปฟู้ดดิลิเวอรี่คือภัยคุกคามของเซเว่นอีเลฟเว่น จึงให้มีแอปเซเว่นดิลิเวอรี่ได้ เมื่อมีแอปออกมาไม่นานเป็นจังหวะที่มีโควิดระลอกที่ต้องอยู่บ้านเข้ามาพอดี เราจึงได้ใช้กันอย่างจริงจังเลย 

นั่นทำให้เห็นว่าสิ่งนี้เกิดจากความหวาดระแวงว่าจะมีธุรกิจอื่นเข้ามาล้มล้าง จะทำให้เกิดการแข่งขันขึ้น ความหวาดระแวงทำให้เกิดนวัตกรรมขึ้น มองกลับกันธุรกิจอื่นที่ไม่เกิดความกลัว อยู่เฉย ๆ สังเกตว่าจะไม่เกิดนวัตกรรมเกิดขึ้น ธุรกิจใหญ่ ๆ ยังเกิดความหวาดระแวงจนเกิดการปรับเปลี่ยน 

ในหลักสูตรที่ผมไปเรียนมาก็มีผู้บริหารของกลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ผมถามไปว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในช่วงนั้น เขาก็บอกว่า หนึ่ง ต้องลงมือทำเลย แม้ไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็ต้องทำ เมื่อผู้บริหารระดับสูงสั่งลงไปจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งองค์กร 

ผมเชื่อว่าท่านที่เป็นผู้บริหารระดับสูหรือหัวหน้าฝ่ายต่าง ๆ จะรอให้ลูกน้องทำก่อนไม่ได้ครับ ค่อย ๆ เปลี่ยนจากข้างล่างขึ้นมาผมว่าไม่ทัน การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากข้างบนลงไปข้างล่าง เห็นได้ชัดว่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา องค์กรขนาดใหญ่ของไทยเริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองเนื่องจากความกลัว อย่างธนาคารของไทยปรับตัวได้เร็วกว่าสตาร์ทอัพไปแล้วด้วยซ้ำ กลุ่มบริษัทที่ปรับตัวเหล่านี้เริ่มสร้างและสะสมนวัตกรรมเป็นของตัวเองแล้ว

การจะทำให้เกิดนวัตกรรมได้มีหลายวิธี 

1.สร้างเป็น Business Unit ใหม่ขึ้น เช่น เป็นทีมนวัตกรรมขึ้นมาเลย เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมในการกระตุ้นเพื่อให้เกิดวัฒนธรรมในองค์กร 

2. บางคนใช้วิธีการ Spin-Off แยกออกไปเป็นบริษัทเลย เพราะว่าวัฒนธรรมขององค์กรขนาดใหญ่จะเป็นวัฒนธรรมที่เก่าแก่ อุ้ยอ้าย มีลำดับชั้นมากมาย ไม่เหมาะกับการที่นวัตกรรมที่จะเกิดขึ้นกับองค์กรแบบนี้ องค์กรต่าง ๆ จึงแยกออกไปเป็นองค์กรของตัวเองที่มีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดวัฒนธรรมมากขึ้น

3. บางองค์กรที่แตกออกไปแล้ว จะนำผู้บริหารระดับสูงที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความเข้าใจเข้ามา ที่เห็นได้ชัดอย่างกลุ่ม SCB ที่มีการสร้างกลุ่ม SCB X หรือกลุ่มของโรบินฮู้ด เมื่อหัวมีการกระจายออกไปไม่รวมศูนย์ อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่หัวคนนั้น ทุกอย่างจะวิ่งเร็วมาก 

ตรงนี้จะทำให้การขยับตัวขององค์กรจะทำได้เร็ว ผมมองว่าทุกอย่างต้องกลัวก่อน ต้องพารานอยด์ก่อน แล้วจะค่อย ๆ ไปต่อได้ ผมว่ากลัวน่ะดีนะ จะสร้างอิมแพคให้เกิดความต่อเนื่อง แล้วเราต้องสร้างแผนต่อว่าจะรับมือกับความกลัวนั้นอย่างไร คนที่ไม่กลัวนั้นน่ากลัวกว่าครับ