Google มีงานประจำปี โชว์เทคโนโลยีและความคืบหน้าของโปรเจคต์หลาย ๆ อันของกูเกิล เป็นงานใหญ่ระดับโลกที่ชื่องานว่า Google I/O 2022 ต้องบอกว่าในโลกของ Developer หรือนักพัฒนาระบบหรือคนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีจะมีงานหลาย ๆ งานที่คนสนใจจดจ่ออยู่ เพราะหลาย ๆ งานมันคือการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีครั้งสำคัญระดับโลกเลยทีเดียว
งานใหญ่ ๆ ที่พูดถึง เช่น งานของ Apple ที่ชื่อว่างาน Apple Developer ของ Google ชื่อ Google I/O งานของ Microsoft Build หรืองานของบริษัทเทคขนาดใหญ่ที่จะจัดงานในลักษณะนี้และเผยแพร่เทคโนโลยัของตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ และแนวโน้มว่ากำลังจะเปิดอะไรบ้าง
ทุกปีงาน Google I/O จะเป็นงานเปิดและมีการขายตั๋ว ซึ่งหลายคนอยากไปมากเพราะในงานจะได้ของแจกดีมาก บางทีมีการแจกแท็บเล็ตรุ่ยนใหม่ แจกมือถือ Google แจกแว่นตา Oculus คือแจกของดีมาก ตั๋วค่าเข้าชมงานราคาเป็นหมื่นบาท
Google Pixel เมื่อก่อนเป็นงานที่นักพัฒนาทั่วโลกอยากไปมาแต่เนื่องจากโควิดงาน Google I/O จึงถูกเปลี่ยนเป็นงานออนไลน์หลายปีแล้ว แต่ปีที่แล้วและปีนี้เริ่มเปิดให้คนนอกเข้าไปได้แล้ว งานไฮไลต์ของ Google I/O แบ่งออกเป็นหลายส่วนมาก บางส่วนพูดถึงฮาร์ดแวร์ของกูเกิลหลายตัว เช่น โทรศัพท์มือถือตัวใหม่ของ Google Pixel ออกมา
Pixel Watch แม้แต่อุปกรณ์บางอย่างที่กำลังจะเปิดตัวคือ Pixel Watch เป็นนาฬิกาที่สามารถเก็บข้อมูลการออกกำลังกายต่าง ๆ ซึ่งจริง ๆ กูเกิลเองก็ได้ซื้อกิจการของ Fitbit ไปเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำอุปกรณ์ที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับการออกกำลังกายอยู่แล้ว ตอนนี้ในเชิงของ Pixel Watch ก็จะเริ่มมีเทคโนโลยีบางอย่างของ Fitbit เข้ามาร่วมผสมด้วย
Android 13 จุดสำคัญของ Google ที่เราเห็น ๆ กันก็คือเทคโนโลยีพวก Search, YouTube ฯลฯ แต่ที่สำคัญอีกตัวหนึ่งก็คือเทคโนโลยีที่เป็น Android ในงานนี้ก็มีการเปิดตัว Android เวอร์ชัน 13 จริง ๆ กลุ่มคนที่ใช้ Android จะเป็นกลุ่มที่ชอบใช้เทคโนโลยีมากหน่อย หลาย ๆ ฟีเจอร์ของแอนดรอยด์ล้ำหน้าแอปเปิลไปเยอะเลยทีเดียว แต่ปีนี้ผมเห็นหลายฟีเจอร์ของแอนดรอยด์มีการก๊อปปี้แอปเปิลด้วยเหมือนกัน
Android 13 จะเป็นแอนดรอยด์ที่เริ่มพูดถึงเรื่อง Privacy หรือความเป็นส่วนบุคคลมากขึ้น และการจัดการในแง่ของข้อมูลส่วนบุคคลจะจัดการได้ดีมากขึ้นด้วย
1) ที่ผมชอบมากคือจะมีการเปิดตัว Google Wallet ขึ้นมาและสามารถเก็บบัตรต่าง ๆ ได้ เช่น บัตรประชาชน ใบขับขี่ บัตรวัคซีน Student ID ตั๋วเข้าชม หรือบัตรต่าง ๆ ที่เราเก็บในกระเป๋าสตางค์ กูเกิลจะเริ่มเปิดให้เราใช้ได้ อารมณ์เหมือนกับ Apple Wallet
ที่ผมดูวิดีโอวันที่เปิดตัวเขาบอกว่ากูเกิลเองกำลังพูดคุยกับรัฐบาลหลาย ๆ ประเทศในการที่จะแปลงบัตรประชาชนของแต่ละประเทศหรือแต่ละเมืองให้สามารถมาลงใน Google Wallet ได้ นี่เป็นอันหนึ่งที่เห็นว่ากูเกิลเองก็เริ่มขยับเข้าไปทำบริการคล้ายกับ Apple Wallet ด้วยเหมือนกัน
2) ในฝั่งที่เป็น OS ที่เป็น Watch เรียกว่า Wear OS ปกติเราใช้ปฏิบัติการ Android ในโทรศัพท์มือถือ แต่ยุคหลัง ๆ จะเห็นว่านาฬิกาเริ่มมามีบทบาทมากขึ้นในการเป็นเครื่องมือเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ กูเกิลออกปฏิบัติการตัวหนึ่งที่ชื่อ Wear OS เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับใส่ลงไปในนาฬิกา
ตอนนี้นาฬิกาที่เป็นแอนดรอยด์หลาย ๆ ตัว เช่น Samsung Watch หรือบางค่ายอย่าง TAG Heuer จะมีการนำระบบปฏิบัติการของ Wear OS ใส่เข้าไปซึ่งจะสามารถเชื่อมต่อเข้ากับโทรศัพท์มือถือที่เป็นแอนดรอยด์ได้อย่างแนบเนียนมากเลยทีเดียว Wear OS เวอร์ชันใหม่จะมีความคล้ายกับ Apple Watch ก็คือจะสามารถเชื่อมต่อกับ Google Wallet ได้คือจะมีกระเป๋าเงินวอลเล็ตอยู่ในโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงินนั้นจะเชื่อมต่อเข้ากับนาฬิกาได้เลย
3) ในขณะเดียวกันก็จะมี Android Tablet ซึ่งจะเริ่มมีความสามารถต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น จะเริ่มมีการเชื่อมต่อได้ เช่น สามารถก๊อปปี้ข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือนำไปวางบนแท็บเล็ตได้เลย (ฝั่งแอปเปิลใช้มานานแล้ว)
4) ในฝั่งแอนดรอยด์มีการพูดถึงเรื่อง Security และ Privacy มากเลยทีเดียว เนื่องจากเป็นระบบปฏิบัติการเป็นพันล้านคนทั่วโลก ในกูเกิลจะมีทีมที่ดูเรื่องของ Security อย่างเดียวเลย เขาจะทำซอฟต์แวร์เกี่ยวกับการบริหาร Security สิ่งที่ต้องดูแลคือ 1. ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่อยู่ใน Play Store หรือแอปพลิเคชันให้เราดาวน์โหลดที่บางทีเป็นซอฟต์แวร์สแกม ซอฟต์แวร์เถื่อน ซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งเพื่อมาหลอกเอาข้อมูลของเรา กูเกิลจะมีทีมมาตรวจสอบแอปพลิเคชันรวมถึงไฟล์ต่าง ๆ เหล่านี้
สิ่งที่กูเกิลพูดถึงมากในครั้งนี้คือ Security ความปลอดภัยของผู้ใช้ รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งมีหลายบริการที่พูดถึงไป เช่น Google Wallet ที่จะเก็บบัตรประชาชน ใบขับขี่ได้ การเก็บข้อมูลบัตรเหล่านี้กูเกิลบอกว่าแม้แต่กูเกิลก็มองไม่เห็น ข้อมูลเหล่านี้จะถูกเก็บไว้ในโทรศัพท์เท่านั้นจะไม่ถูกซิงค์เข้ามาในคลาวด์ของกูเกิล
จะเห็นว่าแนวโน้มของการพัฒนาซอฟต์แวร์ในยุคนี้นอกจากมีการใช้งานสะดวกสบายแล้ว สิ่งหนึ่งก็คือเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวจะถูกพูดถึงในบริษัทขนาดใหญ่มากขึ้น
ต้องบอกว่าตอนนี้ระบบแอนดรอยด์มีคนใช้มากที่สุดในโลกแล้ว และเป็นระบบปฏิบัติการที่หลายค่ายเริ่มเอาไปก๊อปปี้หรือพัฒนาต่อ เช่น HUAWEI ก็มีการนำไปพัฒนาต่อเป็นเวอร์ชันของตัวเอง
Google Search เป็นตัวที่เราใช้กันอยู่แล้ว จะเริ่มพัฒนาความสามารถเพิ่มมากขึ้นคือ 1. ความสามารถค้นหาด้วยกล้องได้ (image search) เช่น ใช้มือถือถ่ายอาหารตรงหน้า AI จะบอกได้เลยว่าภาพนั้นคืออาหารอะไร 2. แต่สิ่งที่กูเกิลพัฒนาต่อคือ multi search คือเมื่อค้นหาภาพนั้นไปแล้วครั้งหนึ่งจะสามารถค้นหาซ้ำต่อไปได้อีกว่าสิ่งนั้น near me อยู่ที่ไหน ซึ่งจะทำให้ค้นหาข้อมูลได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
ในฝั่ง search กูเกิลยังมีการประกาศอีกว่าหลายครั้งที่มีการค้นหา กูเกิลมักมีการเผลอเก็บข้อมูลส่วนบุคคลไป เช่น เก็บอีเมล เบอร์โทร ฯลฯ เมื่อก่อนการจะไปลบอาจลำบากแต่ตอนนี้กูเกิลเปิดโอกาสให้สามารถลบอีเมลหรือเบอร์โทร ฯลฯ เราสามารถขอให้ลบข้อมูลส่วนตัวของเราออกจากระบบ search ได้
Google Maps เริ่มมีการเปิดฟีเจอร์ใหม่คือสามารถทำให้แผนที่มีความละเอียดสมจริงมากขึ้น และปกติกูเกิลจะเลือกเส้นทางที่ไปได้เร็วที่สุด แต่ตอนนี้ลักษณะการทำงานของ Google Maps จะมีการเลือกเส้นทางที่ประหยัดพลังงานมากที่สุดก่อน
รวมถึงเวลาที่ค้นหาสถานที่บางแห่งจะเปิดโหมดใหม่คือ immersive view จะเห็นสภาพแวดล้อมที่สวยงาม ต่อไปการค้นหาข้อมูลใน Google Maps จะเห็นสมจริงเพิ่มมากขึ้น แต่ฟีเจอร์นี้จะเปิดตัวในประเทศหลัก ๆ ก่อน
Google Meet มีการปรับ AI ใหม่ ซึ่งจะคำนวณทำให้ใบหน้าชัดสว่างมากขึ้นแม้จะอยู่ในที่มืด การประชุมจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงคุณภาพของการประชุมก็จะมีประสิทธิภาพดีมากขึ้น
Google Assistant คือ AI ของกูเกิลที่เหมือนสิริ จากเดิมที่ต้องกดปุ่มโฮมค้างไว้หรือพูด Hey Google แต่ตอนนี้มีวิธีการใหม่ที่เรียกว่า Look and Talk เพียงแค่มองไปที่หน้าจออัจฉริยะหรือมือถือ เมื่อมันรู้ว่าเรามอง เราสามารถสั่งงานได้เลย ไม่ต้องพูดเพื่อเปิดคำสั่งแบบเดิม
นั่นคือการนำเซนเซอร์ที่เป็นกล้องที่ติดอยู่ในอุปกรณ์ต่าง ๆ ดูว่าเรากำลังมองอุปกรณ์ตัวนั้นอยู่หรือไม่ ถ้ามองอยู่แสดงว่าเรากำลังสนใจ ไม่ต้องบอก แค่สั่งเท่านั้นอุปกรณ์ตัวนี้ก็พร้อมรับการทำงานได้เลย
Google Translate จะมีการเพิ่มภาษาเข้าไปอีก 24 ภาษา ทำให้ Google Translate รองรับ 133 ภาษาทั่วโลก ครอบคลุมถึงภาษาพูดท้องถิ่นถึง 300 ล้านรายทั่วโลก เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่กูเกิลพยายามทำก็คือสร้างโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยี
แอปบางแอปเราใช้กันเป็นเรื่องปกติ อย่าง Google Translate เราก็ใช้เป็นเครื่องมือหลักในการทำงานกันแล้ว ตอนนี้ Google Translate เก่งมากขึ้นเรื่อย ๆ จากที่เมื่อก่อนการแปลภาษาข้อมูลจะถูกส่งไปที่เซิร์ฟเวอร์ของกูเกิลเพื่อแปลภาษา แต่ตอนนี้การแปลภาษาของ Google Translate ข้อมูลจะถูกประมวลและแปลในเครื่องเลย ทำให้การแปลภาษาของกูเกิลเร็วขึ้น บอกได้เลยว่าในอนาคต Realtime Translation จะทำได้ง่ายมากขึ้น
ตอนนี้ในฝั่งของกูเกิลที่เปิดเทคโนโลยีออกมาแต่ละตัว บางตัวเป็นเทคโนโลยีเฉพาะทางเล็ก ๆ ที่นักพัฒนาใช้กัน ซึ่งความสามารถเหล่านี้เป็นความสามารถพื้นฐานในการทำให้เทคโนโลยีชิ้นใหญ่ ๆ มีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้น เช่น เริ่มมีการเปิดตัวการทำ end-to-end encryption ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะ
หรือการอัปเกรดระบบฐานข้อมูลของกูเกิลที่ทำให้มีความสามารถที่ะประมวลผลได้เร็วมากขึ้น หรือมาตรฐานบางอย่างที่ทำออกมา เช่น เริ่มมีคำว่า สมาร์ทโฮม อุปกรณ์ที่ใช้ในบ้านที่พูดคุยกับมันได้ เริ่มมีการพัฒนามาตรฐานกลางชื่อว่า Matter ที่จะทำให้อุปกรณ์สมาร์ทโฮมต่างค่ายต่างยี่ห้อสามารถพูดคุยกันได้ ฯลฯ
บางอย่างเป็นภาษาเทคนิคอลมากแต่มันคือ หัวใจสำคัญของเทคโนโลยีที่อยู่ข้างหลังที่ทำให้ชีวิตเราง่ายมากขึ้น งานนี้บรรดานักพัฒนาชอบมากเพราะมีของเล่นใหม่ ๆ มีโค้ดดิ้ง อุปกรณ์ใหม่ ๆ ที่เราสามารถนำมาใช้และเชื่อมแล้วนำมาพัฒนาต่อไป บางอย่างสามารถนำมาพัฒนาและสร้างสินค้าและบริการใหม่ ๆ ได้เลย