ต้นเดือนมีนาคม 2018 มีข่าวใหญ่เกี่ยวกับคนจำนวนมากพากันลบบัญชีเฟซบุ๊ก สาเหตุมาจากการที่ข้อมูลที่อยู่ในเฟซบุ๊กมีการรั่วออกมา โดยบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลชื่อว่า Cambridge Analytica ได้ทำการดึงข้อมูลของคนราว 200,000 คน โดยคนเหล่านี้มีการยินยอมให้ดึงข้อมูลได้

การดึงข้อมูลน่าจะมาจากการทำเซอร์เวย์หรือควิซ เพราะก่อนที่จะควิซจำเป็นต้องใช้บัญชีเฟซบุ๊กล็อกอินเข้าเสียก่อน เมื่อล็อกอินเข้าไปแล้ว นักพัฒนาจะสามารถเก็บข้อมูลหรือโทเคน ก็เหมือนกับการได้สิทธิ์ที่จะเข้าไปดูข้อมูลของคุณได้ในระดับหนึ่ง เช่น ชื่อ นามสกุล เน็ตเวิร์ค ฯลฯ แล้วแต่ว่านักพัฒนาจะดูข้อมูลอะไร

แต่สิ่งที่นักพัฒนาต้องการก็คือข้อมูลของเพื่อนในเน็ตเวิร์คของคุณ จากที่ Cambridge Analytica ได้ข้อมูลมา 270,000 คน แต่สามารถกระจายออกไปต่อได้อีกถึง 50 ล้านรายเลยทีเดียว ซึ่งข้อมูลดังกล่าวนั้นเอาไปทำโปรเจคต์อื่นต่อได้ ในการเลือกตั้งของอเมริกาครั้งที่ผ่านมาจึงมีการพาดพิงถึงเรื่องนี้ขึ้นมา

หากมีการนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์จะทำให้สามารถ segment หรือจัดกลุ่มได้ว่ากลุ่มคนใดมีพฤติกรรมอย่างไรบ้างหรือมีแนวความคิดแบบไหน ทุกวันนี้ดาต้าต่างๆ ในโซเชียลมีเดียจะแบ่งได้เป็นหลายระดับ และเราสามารถที่จะปรับให้ใครเห็นได้บ้างมากน้อยเท่าใด ประเด็นสำคัญคือข้อมูลที่นักพัฒนาสามารถเข้าถึงได้มันอาจนำไปสู่การนำไปใช้ทำอย่างอื่นได้มากขึ้นด้วย

การใช้โซเชียลมีเดียบางครั้งข้อมูลอาจจะมีความละเอียดอ่อนในเรื่องของความเป็นส่วนตัวอยู่ ข้อมูลที่เราโพสต์ไปนั้นหลายๆ อย่างอาจเป็นสาธารณะ และข้อมูลเหล่านี้ก็มีช่องทางพิเศษที่เป็นช่องทางสำหรับนักพัฒนาจะสามารถดึงข้อมูลเหล่านี้ได้

แต่อย่างไรก็ตามการจะดึงข้อมูลเหล่านี้ได้ต้องได้รับสิทธิ์ยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเสียก่อน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เมื่อนำมาประกอบกันดีๆ จะสามารถบอกพฤติกรรมของคุณได้ และอาจนำไปสู่การคาดการณ์หรือทำให้รู้ถึงมุมมองและความคิดได้เลย

การที่มีคนไม่พอใจหรือต้องการที่จะลบเฟซบุ๊กนั้นก็เป็นเพราะคิดว่าเฟซบุ๊กนั้นเก็บข้อมูลไม่รัดกุมพอทำให้บริษัทดังกล่าวสามารถดึงเอาข้อมูลของผู้ใช้เฟซบุ๊กไปวิเคราะห์ได้ จนถึงมีผู้คาดการณ์ว่าได้มีการนำไปใช้ในเรื่องของการเมืองครั้งที่ผ่านมา

หากเราสามารถดึงข้อมูลมาได้จะสามารถรู้ว่าคนแต่ละคนเป็นอย่างไร การซื้อโฆษณาเดี๋ยวนี้สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ ดังนั้นหากเรามีข้อมูล มีรายชื่อลูกค้า ก็สามารถเอาข้อมูลมา segment จัดกลุ่มตามที่ต้องการได้ เช่น ผู้หญิง ผู้ชาย ฯลฯ ยิ่งมีข้อมูลมาก การทำโฆษณาหรือส่งข้อมูลออกไปจะเริ่มแม่นยำมากขึ้น

ดังนั้น เวลาที่เราดูฟีดหรือดูเฟซบุ๊ก ข้อมูลบางอย่างอาจไม่ได้เกิดอย่างธรรมชาติ อาจมีการวางแผนมาอย่างดี มาจากการวิเคราะห์ข้อมูลของคุณจึงทำให้เห็นข้อมูลเหล่านั้นนั่นเอง 

จะเห็นว่าเมื่อเรามีเข้าถึงข้อมูลและสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ ในการสื่อสารก็สามารถที่จะเลือกเอาแต่เรื่องที่กำลังสนใจหรือเกี่ยวข้องมานำเสนอ ยิ่งมีจำนวนคนมากเท่าใดก็จะยิ่งจัดกลุ่มได้มาก ดังนั้นในการนำเสนอข้อมูลเพื่อไปเปลี่ยนมุมมองคนเหล่านั้นผ่านโซเชียลมีเดียจึงไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด ข้อมูลในโซเชียลมีเดียที่อาจดูว่าเป็นเรื่องปกตินั้นนักพัฒนาสามารถนำมาปะติดปะต่อได้ อาจทำให้รู้ที่ตั้ง รู้แนวคิด รู้จักเพื่อน รู้สิ่งแวดล้อม ฯลฯ มันจะบ่งบอกถึงตัวคุณได้แทบทุกอย่างซึ่งข้อมูลต่างๆ สามารถโยงใยกลายเป็น social big data นั่นเอง

นอกจากนี้ปัจจุบันอุปกรณ์ต่างๆ ก็เริ่มสร้างดาต้า เช่น นาฬิกาสุขภาพที่เก็บข้อมูลของเราทั้งหมดจนเกิดคำที่เรียกว่า Digital Footprint ซึ่งจะบอกเส้นทางเกี่ยวกับดิจิทัลของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเวลา สถานที่ และอื่นๆ และหากมีการรวบรวมเข้าด้วยกันจะกลายเป็นข้อมูลชั้นดี

ดังนั้น การใช้ชีวิตของคุณในวันนี้ต้องรู้ว่าคุณทำอยู่ในปัจจุบัน มีข้อมูลใดที่เซนซิทีฟมาก ควรต้องรู้ด้วยว่ากำลังใช้โปรแกรมอะไรอยู่และมันทำงานหรือเก็บข้อมูลอะไร หากเรารู้ก็จะบริหารข้อมูลได้

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการใช้งานที่มีการเปิด privacy ของข้อมูล ต้องรู้ว่าควรเปิดระดับไหน แอปพลิเคชันบางตัวมีการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องและอาจจะเป็นมัลแวร์ ฉะนั้นแอปไหนที่ไม่ได้ใช้ก็ควรจะเอาออกไป ที่ว่ามาเป็นสิ่งที่เราจัดการเองได้ง่าย

จริงๆ แล้วผู้ให้บริการต่างๆ ก็จะมีบริการที่คุณสามารถบริหารข้อมูลต่างๆ ได้หมด เช่น ดูได้ว่าดาต้าของคุณที่อยู่ในกูเกิลว่ามีการเก็บอะไรไปบ้าง หรือคุณสามารถที่จะดาวน์โหลดข้อมูลกิจกรรมทั้งหมดในเฟซบุ๊กได้ตั้งแต่วันแรกที่คุณเริ่มใช้งาน

สำหรับคนที่ใช้ Google ผมแนะนำให้ลองเข้าไปที่ myaccount.google.com จะเข้าไปสู่หน้าที่คุณสามารถบริหารข้อมูลของคุณที่อยู่กับ Google ได้ทั้งหมด สามารถปรับข้อมูลได้ว่าจะเปิดหรือปิดสิ่งใด ดูการใช้งานในแต่ละครั้งของได้ ดูการค้นหาแต่ละครั้งของคุณได้ ฯลฯ และสามารถที่จะจัดการลบข้อมูลได้ด้วย

หรือใครที่ใช้เบราวเซอร์ที่เป็น Google Chrome จะมีปุ่มสามปุ่มเพื่อเข้าไปสู่การใช้หน้าต่างในโหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito) ซึ่งในโหมดนี้จะไม่มีการเก็บข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น ลองใช้โหมดนี้ดูก็น่าจะช่วยได้พอสมควร หรือบางคนที่ไม่อยากใช้แอปแชททั่วๆ ไปเพราะกลัวว่าจะมีการเก็บ log ก็จะมีแอปแชทบางตัวที่ค่อนข้างจะมี security สูง

ตอนนี้มีบางคนหันไปใช้แอปแชทที่ชื่อ Telegram ล่าสุดมีคนใช้ทะลุ 200 ล้านคน จุดเด่นคือจะเป็นแอปฯ แชทที่ไม่มีการเก็บ log มีการเข้ารหัสทั้งหมดซึ่งก็น่าจะปลอดภัยสำหรับการแชท ตอนนี้มีการใช้งานสูงเลยทีเดียวโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ซื้อขาย crypto currency หรือบรรดาพวก ico จะใช้เป็นเครื่องมือในการพูดคุยมากกว่าตัวอื่นๆ 

ถึงตรงนี้อยากจะบอกทุกคนว่าขอให้รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่บนโลกออนไลน์เพราะมีการเก็บข้อมูลของคุณทุกอย่าง ถ้าจะให้ดีควรลองเข้าไปศึกษาอย่างที่แนะนำไว้จะได้ทราบว่าแต่ละที่ๆ มีการเก็บข้อมูลอะไรของเราไปบ้าง ซึ่งบางครั้งสามารถย้อนกลับไปดูข้อมูลของตัวเองได้ว่าเราเคยทำอะไรไปบ้าง ซึ่งในทางกลับกันมันก็ให้ประโยชน์ได้ด้วยเช่นเดียวกัน