จากการเปิดประชาพิจาณ์ต่อร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลรัษฎากรเพื่อรองรับระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2561 ถึงวันที่ 15 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา ก็คงต้องรอผลของประชาพิจารณ์ในครั้งนี้ว่ากฎหมายฉบับนี้จะผ่านออกมาอย่างไรต่อไป
แต่อย่างไรก็ตาม ผมมองว่ากฎหมายฉบับนี้จะมีผลกระทบต่อคนทั้งประเทศไม่ใช่เฉพาะแต่ออนไลน์เท่านั้น เพราะผลกระทบของภาษีนี้จะทำให้ใครก็ตามที่มีรายการโอนเงินเข้าบัญชีไม่ว่าคุณจะมีกี่บัญชีก็ตาม หากมีการฝากหรือการโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 3,000 ครั้ง หรือตั้งแต่ 200 ครั้งและมีมูลค่ารวมตั้งแต่ 2,000,000 บาทขึ้นไป ธนาคารจะต้องส่งรายงานไปให้แก่กรมสรรพากร
ทุกวันนี้เวลาที่เราจะเปิดบัญชีกับธนาคารใดก็จะต้องใช้บัตรประชาชนด้วย พอเวลาที่เราใช้ e-Banking ข้อมูลต่างๆ ของเราจะขึ้นมาด้วยทั้งหมด ฉะนั้น ผลกระทบของเรื่องดังกล่าวข้างต้นจึงไม่ใช่การกระทบเฉพาะแค่วงการออนไลน์เท่านั้นแต่มันจะไปกระทบกับคนทั้งประเทศ ในขณะที่รัฐบาลและธนาคารต่างๆ พยายามกระตุ้นให้คนไทยหันมาใช้ cashless และยอมไม่คิดค่าธรรมเนียมในการโอน
การที่ธนาคารไม่คิดค่าธรรมเนียมในการโอน ก็เพราะต้องการให้ทุกคนรวมถึงผู้ประกอบการหรือร้านค้าต่างๆ หันมาใช้ออนไลน์มากขึ้น แต่การที่สรรพากรจะประกาศกฎหมายฉบับนี้ออกมามันเหมือนกับการที่เรากำลังเดินถอยหลังเข้าคลอง ต่อไปพวกพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หรือผู้ประกอบการทั้งหลายก็คงไม่อยากใช้ไม่ว่าจะพร้อมเพย์หรือ QR Code เพราะแต่ละครั้งที่มีการใช้ก็เท่ากับการนับจำนวนครั้งของบัญชีแล้ว แบบนี้จะกลายเป็นว่าสรรพากรพยายามทำให้คนไทยส่วนหนึ่งหนีออกจากออนไลน์และผลักไปใช้วิธีการชำระเงินแบบอื่นแทน
หากร่างฯ นี้ผ่านนั่นหมายถึงบรรดาพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่เคยใช้บริการธนาคาร หากมีรายการเดินบัญชีของเงินที่เข้าออกถึงตามจำนวนครั้งที่กำหนดไว้เมื่อไหร่ ธนาคารก็จำเป็นต้องส่งข้อมูลบัญชีของเขาไปให้สรรพากรตรวจสอบ ผมว่าบางทีพวกเขาอาจจะใช้วิธีการรับมือโดยการเปิดหลายๆ บัญชี ทั้งเปิดเองหรือให้ญาติพี่น้องหรือคนอื่นๆ เปิดแทน เพื่อกระจายเงินที่ได้ออกไปหลายๆ บัญชีก็เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบทางการเงินจากสรรพากร
เรื่องนี้ยังอาจกระทบไปถึงธุรกิจสีเทาอื่นๆ อย่างพวกแทงหวย พนันบอล ฯลฯ เผลอๆ พ่อค้าแม่ค้าเหล่านั้นอาจใช้วิธีรับเงินผ่านทาง E-Wallet แทน เพราะไม่ต้องส่งข้อมูลให้สรรพากรเท่านี้ก็รอดแล้ว ไม่เช่นนั้นสรรพากรต้องมาเขียนกฎหมายเพิ่มให้ครอบคลุมผู้ให้บริการ E-Wallet อีก คราวนี้พวกเขาคงย้ายไปใช้ Wallet ต่างประเทศอย่าง PayPal กันหมดแน่ หรืออาจหันมารับจ่ายกันด้วย Cryptocurrency ไปเลย
ที่ผมกังวลมากกว่าก็คือเรื่องของ privacy เราจะต้องอยู่ในประเทศที่ภาครัฐสามารถเข้ามาตรวจสอบข้อมูลหรือดึงข้อมูลในบัญชีเราได้หมด? ถ้ากฎหมายนี้ออกมาจริงจะกระทบเป็นวงกว้างแน่นอน หลายๆ ธุรกิจคงจะหันไปรับเงินสดแบบเดิมเพราะสบายใจมากกว่า ในฐานะที่คร่ำหวอดในวงการออนไลน์มานานและพยายามที่จะแนะนำคนไทยให้หันมาใช้พร้อมเพย์หรือ QR Code หรือ Mobile Banking กันให้มากก็รู้สึกว่าผิดหวังเล็กๆ
กฎหมายฉบับนี้ส่งผลกระทบต่อผู้คนในวงกว้าง อาจทำให้บางคนคิดที่จะเลิกใช้ระบบดิจิทัลแลัวกลับไปใช้เงินสด หรือไม่เอาเงินเข้าธนาคารไทยอีกแล้วเพราะไม่ต้องการถูกตรวจสอบ พากันย้ายเงินไปนอกประเทศหรือย้ายเงินไปอยู่ในระบบอื่นที่รัฐตรวจสอบไม่ได้
ประเทศไทยเรากำลังจะเข้าสู่สังคม cashless แต่การดำเนินการเรื่องนี้ผมว่าเร็วเกินไป ดิจิทัลในบ้านเรายังไม่โตเต็มที่ ถ้ารอเวลาอีกสัก 2-3 ปีรอให้ดิจิทัลได้เข้าไปอยู่ในทุกธุรกิจจริงๆ เสียก่อน ตอนนั้นจะออกกฎหมายอะไรออกมาก็น่าจะเหมาะสมกว่านี้ ตอนนั้นคนไทยจะเข้าใจและพร้อมอย่างแท้จริง ส่วนตัวผมค่อยไม่เห็นด้วยกับกฎหมายตัวนี้เท่าไหร่นักและเชื่อว่ายังมีอีกหลายกลุ่มที่เกี่ยวข้องก็น่าจะไม่เห็นด้วยเช่นกัน
คงต้องรอผลกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร ผมเองยังสนับสนุนว่าควรต้องมีการเสียภาษีให้ถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตามในภาครัฐทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรต้องมีการวางแผนนโยบายต่างๆ ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน สนับสนุนกัน มีการปรึกษาหารือกันว่าหน่วยงานไหนควรจะเดินหน้า หน่วยงานไหนควรจะรอเวลาสักพัก หรือหน่วยงานไหนควรรับช่วงต่อลุยเต็มที่ แต่ที่สำคัญที่สุดควรต้องให้เวลาคนไทยมีความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีและความพร้อมมากกว่านี้อีกสักนิดแล้วค่อยมาว่ากันน่าจะเหมาะกว่านะครับ