เราอยู่ในยุคที่คนไม่เชื่อโฆษณา ไม่สามารถโน้มน้าวให้คนอยากซื้อสินค้าได้อีกต่อไปแล้ว โฆษณาทำให้รู้แค่ว่ามีสินค้าและบริการนี้อยู่
โดยเฉพาะสินค้าประเภท High Involvement หรือสินค้าที่ต้องมีการตัดสินใจ เช่น สินค้าราคาแพงพวก รถ บ้าน ฯลฯ โฆษณาทำได้แค่กระตุกให้คนรู้เท่านั้น แต่สุดท้ายสินค้าประเภทนี้ 70-80% คนจะอ่านรีวิวก่อนซื้อ
ตอนนี้นักการตลาดจะแบ่ง budget ส่วนหนึ่งไว้เพื่อเอามาทำให้บุคคลที่ 3 หรือ Influencer ที่มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ในแต่ละโลกมาพูดถึงสินค้าหรือบริการ
Influencer Marketing เริ่มถูกพูดถึงมากขึ้นเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีบริษัทต่าง ๆ ที่ทำเกี่ยวกับ Influencer Marketing มากขึ้น ผมเองเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงมากขึ้น
บริษัทที่ผมเข้าไปลงทุนชื่อ Tellscore เมื่อปีที่แล้วเริ่มมีการขยับมาทำ Influencer Commerce คือถ้าต้องการที่ขายสินค้าก็นำสินค้ามาให้ Influencer พูดถึง หากพูดแล้วมีการขายได้ก็จะแบ่งคอมมิชชั่นให้กับ Influencer คนนั้นตามตกลง แต่เท่าที่ผมคุยกับ CEO ของ Tellscore ปรากฏว่าไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ เพราะว่า
1. Influencer มีหลายแบบหลายระดับ
ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะเห็นคนมาไลฟ์ขายของหรือยูทูปเบอร์มีรายได้เป็นล้าน ๆ บาท พวกนี้ถือเป็น Influencer เช่นกัน แต่ Influencer เหล่านี้เขาขายของของตัวเอง ถ้าอยากให้เขาขายของให้ บางทีเราต้องแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ให้เขา ถ้าน้อยไปเขาก็ไม่รับ เพราะเขาขายเองได้มากกว่า และบางครั้งสินค้าของเขาและเราก็คล้าย ๆ กันด้วยซ้ำ
Influencer มีหลายแบบ บางคนมีไว้สำหรับสร้างแบรนด์ให้รู้จักเท่านั้น ไม่เหมาะที่จะให้มาขายของ ฉะนั้น Influencer Marketing ไม่ใช่ท่าไม้ตายที่จะขายของได้ทันที เพราะมีหลายกลุ่ม มีหลายทาร์เก็ต
ต้องบอกว่าเดี๋ยวนี้มีการใช้ Influencer Marketing ในการสร้างแบรนด์ และนักการตลาดต้องเตรียมเงินอีกก้อนหนึ่งสำหรับนำสื่อที่ Influencer ทำมาไปบูสต์โพสต์ซ้ำอีกที โดยใช้การบูสต์แบบ custom audience คือการเลือกขยายฐานลูกค้า โดยการหาคนที่มีพฤติกรรมคล้าย ๆ กับฐานลูกค้าที่มีอยู่ และขยายจำนวนให้มากขึ้น เป็นการขยายผลออกไปยังลูกค้าในกลุ่มเดียวกันแต่กว้างมากขึ้น
2. Target, Market ในโลกออนไลน์แตกออกเป็นชิ้น ๆ แล้ว
สมัยก่อนถ้าอยากให้คนรู้จักทั้งประเทศ ก็ไปลงโฆษณาในรายการโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมมากรายการใดรายการหนึ่งก็ได้ แต่ยุคนี้จะได้แค่คนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
เพราะคนแต่ละกลุ่มจะมีสื่อหรือมีเดียที่ดูแตกต่างกัน มีคนที่เขาเชื่อแตกต่างกัน เด็ก ๆ บางคนอาจจะตามดูข่าวจากเพจจ่าพิชิต ขจัดพาลชน Drama-addict ผู้หญิงอาจจะตามเพจหมอแล็บแพนด้า ฯลฯ ทุกคนจะมีช่องทางในการตามสื่อของตัวเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นคือเกิดเผ่าหรือ Type ใหม่ ๆ เช่น เมื่อเร็ว ๆ นี้ในโลกออนไลน์เกิดห้องห้องหนึ่งชื่อ จัดโต๊ะคอม มีสมาชิกหลายหมื่นคน จะเอาโต๊ะคอมพิวเตอร์มาโชว์กันโดยเฉพาะในช่วง WFH กลายเป็นคอมมูนิตี้ใหม่ของคนที่ชอบเกี่ยวกับการตกแต่งโต๊ะคอมพิวเตอร์หรือโต๊ะทำงาน เริ่มเกิดเป็นเซกมนต์แต่ละเซกเมนต์ขึ้น
การขายของของคนในยุคนี้ช่องทางเดิมยังใช้ได้ผล แต่จะเริ่มเกิดเป็นคอมมูนิตี้ เป็นเซกมนต์ย่อย ๆ ในฐานะเจ้าของสินค้าและบริการต้องพยายามหากลุ่มเหล่านี้ให้เจอ เพราะคนไปรวมตัว กระจุกตัวอยู่ที่แห่งหนึ่ง เช่น อยู่ตามเฟซบุ๊กกรุ๊ป เพจต่าง ๆ ไลน์กลุ่มต่าง ๆ หรือคอมมูนิตี้ของไลน์ ในห้องนั้นจะมี Influencer อยู่ในห้อง เป็นคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ พูดทีไรก็มีคนเชื่อทันที
ฉะนั้น ต้องมองที่ไลฟ์สไตล์คนเป็นหลักว่าไลฟ์สไตล์คนต้องการสินค้าและบริการประเภทไหน ในฐานะที่เป็นเจ้าของสินค้าและบริการเราต้องเริ่มเข้าไปอยู่กับคนในคอมมูนิตี้ออนไลน์เหล่านั้น
เกิดคำใหม่ขึ้นมาคือ KOC (Key Opinion Consumer) ตอนนี้องค์กรต่าง ๆ เริ่มเปลี่ยนพนักงานของตัวเองให้มาเป็น Influencer เท่าที่ผมไดู้ดคุยกัยทาง Tellscore มีบางบริษัทให้พนักงานมาสมัครกับ Tellscore เพราะว่าทุกคนสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็น Influencer ได้
เมื่อมีสินค้าหรือบริการของบริษัท พนักงานคนใดที่พูดลงไปในออนไลน์ ระบบของ Tellscore สามารถแทร็กได้หมดว่าพนักงานคนไหนพูดถึงสินค้าและบริการบ้าง พูดแล้วมีใครคลิกกลับเข้ามาซื้อสินค้าหรือบริการบ้าง พนักงานคนนั้นก็จะได้รับค่าตอบแทนด้วย ตอนนี้เรียกว่ามีเครื่องมือแทร็กหรือวัดได้แล้ว
หรืออีกวิธีคือบางบริษัทมีฐานข้อมูลลูกค้าอยู่แล้ว แต่ลูกค้าบางคนหลับหรือ sleeping customer ก็เริ่มมีแคมเปญกระตุ้นลูกค้า เปลี่ยนจากลูกค้าที่เคยซื้อแต่ไม่ทำอะไรมาเป็น Influencer พูดถึงเรา โดยอาจจะส่งคำเชิญให้เข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์ใน Tellscore ได้เลย หากมีการพูดถึงสินค้าหรือบริการของแบรนด์จะมีการจ่ายให้โพสต์ละขั้นต่ำ 300 บาท
การโพสต์ จำนวนราคาขึ้นอยู่กับ network effect จำนวนคนตาม จำนวนคนที่เกิดการแชร์ จากเดิมที่ต้องหา Influencer จากข้างนอก ตอนนี้เกิดเทรนด์ใหม่คือใช้คนข้างในหรือพนักงานเพราะรู้จักสินค้าและบริการดีอยู่แล้ว
เมื่อก่อนพยายามให้พนักงานพูดแต่ไม่ได้ให้อะไรกับเขา แต่เมื่อเรามีเครื่องมือในการวัดผลหรือการแทร็กต่าง ๆ ก็เกิดความแฟร์กับพนักงาน เมื่อเขาพูดบริษัทเกิดรายได้ พนักงานก็ได้รายได้จากการช่วยพูดด้วยเช่นกัน
ทุกคนถือเป็น Influencer แต่ละคนจะมีคนที่ติดตามอยู่ แต่ต้องมาดูว่าเราจะหา Influencer ที่ตรงกับทาร์เก็ตของเราเจอไหม ซึ่งข้อดีของ Tellscore คือเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยคุณได้ ในเมืองไทยเองก็มีอยู่หลายยี่ห้อ และยังมีของต่างประเทศที่บุกเข้ามาในเมืองไทยด้วยเหมือนกัน
ในอนาคตผมมองว่า Influencer จะเป็นช่องทางหลักช่องทางหนึ่งเพราะก่อนที่คนจะตัดสินใจซื้อมักชอบดูรีวิวก่อน จะดูหลาย ๆ คนเพื่อให้แน่ใจ reviewer หรือ Influencer มีผลกับคนซื้อ หากเรามีสินค้าดี มี Influencer ที่ดี และยิ่งมีช่องทางการขายโดยเฉพาะบนออนไลน์ที่ดี จะสามารถปิดการขายได้ ทุกอย่างจบบนออนไลน์ได้เลย
นี่อาจเป็นเรื่องใหม่ของหลาย ๆ คน ผมอยากให้ลองใช้ดู ลองปันงบก้อนหนึ่ง จะหลักพันหรือหมื่นก่อนก็ได้ จริง ๆ การหา Influencer สามารถทำด้วยตัวเองได้ ลองเข้าไปที่ https://th.tellscore.com/th เลือกเป็น Marketer สามารถเลือก Influencer ได้ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จังหวัดหรือพูดภาคไหน สินค้าอะไร ฯลฯ เติมเงินแค่ 500 บาทก็สามารถใช้งาน Influencer Marketing ได้แล้ว และคุณจะเข้าใจการตลาดในรูปแบบนี้มากขึ้น