ที่ผ่านมาบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งมีข่าวการปลดพนักงานกันยกใหญ่ เช่น Netflix แต่ก็มีการคาดการณ์กันมาก่อนแล้ว ผมเองอยากแชร์ในฐานะที่เป็นนักธุรกิจคนหนึ่งที่เคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้ เราพยายามทำให้ธุรกิจของโต แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ไม่ใช่อย่างที่เราคาดหวัง สุดท้ายต้อง scale down ธุรกิจคือปรับขนาดลดลงเพื่อให้สามารถอยู่รอดต่อได้ 

สมัยที่บริษัท Rakuten มาลงทุนกับบริษัทของผม และต่อมาเขาตัดสินใจที่จะออกจากตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มมีการพูดคุยว่าจะเริ่มลดการลงทุน คำสั่งแรกที่มีมาคือ หยุดใช้งบการตลาดทั้งหมด จากที่เคยใช้งบโฆษณาหลายล้านบาทเป็นการต้องหยุดแบบเหลือศูนย์ 

ในญี่ปุ่นจากที่ผมได้เคยประชุมในระดับบริหาร เนื่องจากเขาเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ สำหรับบางธุรกิจที่ไม่ทำเงิน สิ่งที่เขาพยายามทำคือต้อง maintain profit margin ไว้ให้ได้ เมื่อมีการสั่งตัดงบการตลาดปุ๊บ สิ่งที่ CEO สั่งเลยคือตัดงบโฆษณาเหลือ 0 บาท ไม่รับคนเพิ่ม โยกย้ายคน ฯลฯ และให้ไปคิดวิธีการที่ธุรกิจต้องโตเท่าเดิมโดยที่งบการตลาดเท่ากับศูนย์บาท

จะเห็นว่าสิ่งแรกที่จะลดลงกันก็คือ marketing cost โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีงบการตลาดสูง และจะลดไปเรื่อย ๆ เช่น ตัดค่าใช้จ่ายทางด้านออฟฟิศคือลดขนาดออฟฟิศลง ใช้เอาท์ซอร์สน้อยลง ฯลฯ แต่งบมาร์เก็ตติ้งจะเป็นตัวแรกที่จะถูกตัด และสุดท้าย คนจะเป็นตัวที่ทุกคนพูดถึงที่จะต้องปรับลด 

แต่ในบริษัททางด้านเทคโนโลยีหรือบริษัทด้านการเงิน การปรับลดคนจะต้องเป็นแบบทันที อย่างในเมืองไทยตามข่าว Shopee Pay และ Shopee Food ที่มีการเรียกพนักงานเข้ามาคุยและประกาศว่าจะปรับลดจำนวนคนลงโดยให้มีการเซ็นลาออกและให้กลับบ้านได้เลย ไม่สามารถกลับไปที่โต๊ะทำงานหรือทำอะไรกับคอมพิวเตอร์ได้อีก เพราะต้องออกแบบทันที

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็คือ บริษัทเทคโนโลยีข้อมูลมีความสำคัญมาก หากปล่อยให้มีการกลับไปที่โต๊ะหรือใช้คอมพิวเตอร์ ลูกน้องบางคนอาจสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจได้ ฉะนั้นจึงต้องทำแบบทันที เป็นความจำเป็นในเรื่องของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล นี่คือแนวโน้มของการบริหารคนในยุคนี้

การปรับลดคนไม่ได้หมายความว่าในระยะยาวธุรกิจจะไปไม่รอด แต่เป็นการปรับเพื่อให้ธุรกิจสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจหรือสภาพธุรกิจในขณะนั้น เมื่อถึงจังหวะเวลาที่เขาสามารถปรับโครงสร้างได้แล้ว และธุรกิจเริ่มโตก็สามารถเร่งธุรกิจให้โตต่อไปได้ และในเวลาไม่นานอาจจะสามารถเพิ่มคนต่อได้ทันทีเลย

การปรับลดคนไม่ได้เป็นการคิดทำในวันนั้นแต่มีการเตรียมการเป็นเดือนล่วงหน้า และมีกลุ่มคนที่จะรู้ล่วงหน้าก่อนแล้วแต่จะเป็นวงจำกัดมาก ๆ อย่างเมื่อตอนที่ Rakuten จะมีการปรับลดขนาดบริษัทลง ผมก็พอทราบมาก่อนหน้าเพราะมีสัญญาณมาสักพักแล้วจึงไม่แปลกใจ

ผมจึงเริ่ม scale down ซึ่งบริษัทต่าง ๆ เมื่อมีการตั้งชื่อโปรเจคต์ทำนองนี้จะมีเป็น code name ขึ้นมาเพื่อไม่ให้คนในองค์กรทราบ แม้ในขณะนั้นบริษัทของผมมีการทำโปรเจคต์หลายอย่างจับมือกับพาร์ทเนอร์ภายนอก แต่ก็ต้องทำเสมือนปกติเพราะทุกอย่างต้องเดินหน้าต่อไป

เมื่อมีการเตรียมการไว้ก่อนหน้าแล้ว เมื่อประกาศออกไปทุกอย่างจะดำเนินไปตามกระบวนการที่วางไว้เลย ในการที่จะ scale down ธุรกิจหรือหดธุรกิจลง บางอย่างหากมีการเตรียมแผน หรือแม้แต่เรื่องกฎหมายต่าง ๆ ไว้อย่างดีก่อน อาจทำให้การบริหารจัดการเรื่องคนหรือทุกอย่างดีขึ้นมาก นี่คือศิลปะในการ scale down ธุรกิจ 

ภาพรวมของธุรกิจเทคโนโลยี เช่น Netflix, Shopee หรือในอเมริกาอย่าง Tesla, Amazon ก็เริ่มมีการจ้างคนน้อยลง ตรงนี้เองค่อนข้างจะสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น ธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีนั้นจะเน้นในเรื่องของความเร็ว ฉะนั้น ในเรื่องของการเอาคนเข้าต้องเร็วและเช่นเดียวกันการเอาคนออกก็เร็วเช่นกัน

Speed สำคัญมากในเชิงธุรกิจ อย่างธุรกิจดิจิทัลในช่วงที่ take off จะใช้คนเยอะ เช่น เอาคนมาทำข้อมูล ลงพื้นที่ คุยกับร้านค้า ฯลฯ เมื่อผ่านจุดนั้นก็จะเป็นอีกทีมที่คอยดูแลร้านค้า แต่ทีมหาร้านค้าก็ไม่จำเป็นแล้วก็จะลดขนาดทีมได้ทันทีเลย

บางธุรกิจ เช่น แวร์เฮ้าส์ ก็มีการจ้างคนแบบชั่วคราว เป็นรายวัน ซึ่งช่วยให้บริหารต้นทุนได้ง่ายมากขึ้น แต่หากว่าใครที่อยากได้คนมาทำงานเร็ว ๆ หรือคนทำงานแบบชั่วคราว ผมมีเว็บไซต์แนะนำคือเป็นเว็บไซต์ที่มีพนักงานแบบชั่วคราวเป็นแสนคนเลยทั่วประเทศในแพลตฟอร์มชื่อว่า daywork.co 

ใน daywork.co จะสามารถช่วยหาพนักงานชั่วคราวมาช่วยคุณได้โดยคิดค่าบริการเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่ก็สะดวกกว่าที่เราต้องมานั่งหาคนซึ่งต้องใช้เวลาในการหา โดยค่าจ้างเราจ่ายผ่านแพลตฟอร์ม ไม่ต้องมารับบภาระในเรื่องของสวัสดิการต่าง ๆ เราหักค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ 100% เลย 

ตรงนี้เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความคล่องตัวสูง ลดต้นทุนได้ และหากพอใจการทำงานของพนักงานชั่วคราวคนนั้น ๆ ต้องการให้เป็นพนักงานประจำก็สามารถซื้อพนักงานจากแพลตฟอร์มได้ ซึ่งตรงนี้เหมาะกับบางธุรกิจที่ต้องการจ้างงานแต่ไม่ชัวร์ ก็จ้างมาแบบชั่วคราวก่อนแล้วค่อยจ้างเแบบประจำก็ได้ 

จากเดิมที่คุ้นเคยกับการทำธุรกิจแบบที่ต้องจ้างคนมาเป็นพนักงานประจำ เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นแล้ว แค่มีคนเก่ง ๆ ที่เป็นคนคู่กายไว้ใจได้เพียงไม่กี่คน แล้วที่เหลือเราใช้เอาท์ซอร์ส ให้คนอื่นทำ หรือไปจ้างเขาทำให้ บริษัทยุคใหม่ ๆ มีคนไม่ถึงสิบคนแต่ยอดขายเป็นหลายร้อยล้านได้เลยเพราะจ้างเอาท์ซอร์สให้ช่วยทำให้ ทำให้บริษัทลีน เบา และทำงานง่าย หมดปัญหาปวดหัวเรื่องคน นี่คือการบริหารธุรกิจในยุคใหม่ครับ