ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาราคาในตลาดคริปโตมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้กำลังเริ่มปรับฐานแล้วถือว่าดีกว่าเมื่อก่อน 

ตลาดคริปโตแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนหนึ่งคือแบบที่มีการค้าขายผ่านตัวกลางที่เรียกว่า Exchange อารมณ์เหมือนตลาดหลักทรัพย์ที่มีโบรกเกอร์ มีคนมาซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล เป็นการซื้อขายที่มีภาครัฐกำกับคือ ก.ล.ต.คอยกำกับผู้ให้บริการในลักษณะนี้ ผู้ให้บริการในประเทศไทย เช่น Bitkub, Zipmex, Satang Pro ที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต.

แต่ตอนนี้ตลาดในประเทศไทยค่อนข้างจะซบเซา ยิ่งมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ผู้ให้บริการอย่าง Zipmex ได้มีการประกาศขอระงับการถอนเงินบาทและคริปโตเคอร์เรนซีชั่วคราว เว็บไซต์ปิดให้บริการอยู่ช่วงหนึ่ง โดย CEO ได้มีการออกมาชี้แจงว่าเกิดอะไรขึ้น

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เนื่องจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจะมีอยู่ 2 แบบคือ การลงทุนซื้อขายกันแบบปกติ แต่ใน Zipmex จะมีอีกบริการคือ ZipUp+ เป็นบริการที่สามารถนำเงินคริปโตไปฝากได้โดยจะมีดอกเบี้ยให้ ข้อดีคือดอกเบี้ยค่อนข้างสูงกว่าการนำเงินไปฝากตามธนาคาร จึงมีคนกลุ่มหนึ่งที่มีเงินคริปโตอยู่แล้วนำมาฝากที่ ZipUp+ ซึ่งตรงนี้ก็จะได้ดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง

ดอกเบี้ยนี้มาจากไหน สำหรับผู้ให้บริการบางแห่งให้ดอกเบี้ยสูงถึง 100% ก็มี ซึ่งบริการแบบนี้เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า DeFi หรือ Decentralized Finance คือการนำเงินคริปโตที่เราฝากไว้เอาไปฝากที่อื่นต่ออีกที

เนื่องจากการล้มของสกุลเงินที่ชื่อว่า LUNA และ UST ที่เป็นเหรียญ Stablecoin ในกลุ่มของ Terra ทำให้มูลค่าสินทรัพย์ของตระกูลเงินคริปโต LUNA หรือ UST ที่จากเดิมจะมีราคาเป็นหลักพันบาทแต่ตกลงมาเหลือต่ำมาก สิ่งที่เกิดขึ้นคือก่อนหน้านั้นมีคนนำเงินคริปโตไปฝากไว้นั่นเอง

คำว่า Stablecoin ตรงนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเสียหายไปกับ LUNA หรือเหรียญ UST ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะ Stablecoin เป็นเหรียญที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งในโลกแห่งความจริงมันควรจะต้องเป็นเหรียญถูกค้ำด้วยเงินจริง ๆ แต่ปัญหาคือตัว LUNA ไม่ได้มีเงินจริง ๆ ค้ำไว้ แต่เป็นการค้ำโดย Algorithm คือไม่มีเงินจริง 

จุดที่คนเข้าไปใช้เยอะก็คือการพยายามสร้างกระแสว่าหากคุณมีเงินเหรียญสกุลอื่นและนำมาฝากเปลี่ยนเป็น UST ที่เป็น Stablecoin ของค่าย Terra โดยให้ดอกเบี้ย 20% ต่อปี ที่เขาให้ดอกเบี้ยขนาดนี้ได้เพราะเขาก็เอาสินทรัพย์ที่เราไปฝากไว้ไปกระจายไปลงทุนในกองทุนอื่น ๆ ต่อ ซึ่งตรงนี้คือจุดอ่อนของคนด้วยคำว่า Stablecoin ที่ดูเหมือนว่าไม่เสี่ยงนั่นเอง

ในโลกของคริปโตต่างจากแชร์ลูกโซ๋ตรงที่เราสามารถเห็นได้หมดทุกรายการทุกธุรกรรม เห็นได้หมดว่าเงินไปอยู่ตรงไหน ใครถือเงินทั้งหมด แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับสกุลเงินของ Terra หรือ LUNA ก็คือการโดนโจมตีจนทำให้ค่าเงินทรุดลงไป อารมณ์เดียวกับที่ประเทศไทยโดนโจมตีจาก George Soros เมื่อปี 2540 นั่นเลย

กลับมากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Zipmex ก็คือการที่เขามีบริการให้นำสกุลเงินดิจิทัลไปฝากไว้และได้ดอกเบี้ย แล้วเขานำเงินคริบโตไปฝากที่อื่นต่อ ซึ่งหนึ่งในผู้ให้บริการที่เขานำไปฝากต่อคือ เซลเซียส (Celsius) ปรากฎว่า Celsius ก็นำเงินไปฝากอยู่ใน LUNA ที่มีปัญหานี่เอง

ตอนนี้กำลังเกิดโดมิโนเอฟเฟกต์อยู่ เมื่ออันหนึ่งล้มจึงทำให้หลาย ๆ ผู้ให้บริการ หลาย ๆ กองทุนทางด้านคริปโตล้มละลายไปด้วย ทำให้ผู้ให้บริการที่นำเงินคริปโตไปฝากกับ Terra ไม่สามารถมีเงินไปจ่ายคืน เพราะเงินที่ลงทุนไปก่อนหน้านั้นหายไปหมดเลยเหลือศูนย์ เงินที่รับมาจากที่อื่นก็หายไปด้วย

ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีบริษัทแม่ Zipmex Global ที่สิงคโปร์ ซึ่ง Zipmex ของไทยก็นำเงินไปฝากไว้ ก็ได้นำเงินกระจายไปลงทุนใน Celsius และ Celsius ก็ไปลงทุนใน Terra ต่ออีกที นี่แหละครับที่ล้มระเนระนาดต่อกันมา 

ในประเทศไทยคนที่เอาเงินคริปโตไปฝากไว้กับ Zipmex ที่อยู่ในฝั่ง ZipUp+ ที่ฝากแล้วได้ดอกเบี้ยจึงเกิดปัญหาขึ้น ทาง CEO ของ Zipmex ประเทศไทยจึงออกมาชี้แจงให้ทราบว่าเงินอยู่ที่ไหน และ Zipmex ประเทศไทยกำลังฟ้องร้อง Zipmex ที่สิงคโปร์เพราะเป็นคนดูแลเงินตรงนี้ ซึ่งเจ้าของ Zipmex ถึงกับบอกว่ากำลังเจรจากับเจ้าของธุรกิจอื่นที่จะมาซื้อกิจการ Zipmex ที่เป็นตลาดกลางในการซื้อขายเพื่อนำมาเยียวยาผู้ที่เสียหาย ซึ่งตรงนี้น่ากลัวมาก 

แต่ตรงนี้เราจะเห็นกลไกหนึ่งที่น่าสนใจคือเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นจะเห็นว่าผู้ให้บริการเหล่านี้จะถูกกำกับโดย ก.ล.ต. และ ก.ล.ต. จะสั่งการให้ Zipmex ต้องออกมาเปิดเผยต่อสาธารณะและต้องมีมาตรการในการคุ้มครองนักลงทุนด้วยเหมือนกัน นี่คือข้อดีของการลงทุนผ่านตัวกลางที่มีการควบคุมโดยหน่วยงานภาครัฐ